จากที่มีกำหนดฉายในวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา แต่การระบาดของโรคโควิด-19 ได้ทำให้สะดุดลง และเลื่อนมาถึง 3 ครั้ง ก่อนที่เจ้าพ่อการ์ตูนโลก Disney จะตัดสินใจให้ Mulan ภาพยนตร์รีเมกสุดยิ่งใหญ่ในเวอร์ชันไลฟ์แอ็กชันเข้าฉายใน Disney+ แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิงเฉพาะในสหรัฐอเมริกา โดยเริ่มปล่อยไปแล้วตั้งแต่วันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา
การมีค่าธรรมเนียมการซื้อแบบดิจิทัลในราคา 30 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 900 บาท นอกเหนือจากค่าธรรมเนียมการสมัครสมาชิก Disney+ แบบรายเดือน ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่า เป็นความเสี่ยงที่คุ้มค่าที่จะลองหรือไม่ เพราะต้องมีการซื้อให้ครบ 10 ล้านครั้งถึงจะคุ้มกับเงินลงทุนกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 6,200 ล้านบาท
ถึงจะยังไม่รู้ว่าการตัดสินใจเข้าฉายก่อนใน Disney+ นั้นคุ้มค่าหรือไม่ ในขณะที่อดีตนักวิเคราะห์ของ Disney รายหนึ่งให้สัมภาษณ์กับ Yahoo Finance ว่า Disney ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าการตัดสินใจดังกล่าวจะนำมาซึ่งผลกำไร
และเพื่อที่จะทำเช่นนั้น Disney จำเป็นต้องเพิ่มจำนวนสมาชิกอย่างรวดเร็ว แม้การเข้าฉายในแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิงของตัวเองจะทำให้รายได้เข้ากระเป๋าของ Disney โดยตรง 200% จากปกติที่ต้องแบ่งรายได้ให้กับโรงภาพยนตร์ในสัดส่วนที่มากถึง 40-50% รวมไปถึงข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้าที่มีค่าก็ตาม
แต่ข้อมูลล่าสุดที่ Sensor Tower บริษัทวิจัยการดาวน์โหลดแอปฯ ให้ข้อมูลเบื้องต้นกับ Yahoo Finance อาจทำให้ Disney ยิ้มออกได้บ้าง เพราะยอดดาวน์โหลด Disney+ พุ่งขึ้น 68% ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 4 กันยายน ถึงวันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน เมื่อเทียบกับสุดสัปดาห์ก่อนหน้า
การใช้จ่ายของผู้บริโภคในแอปฯ ก็พุ่งสูงขึ้น 193% เช่นกัน ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามาจากการที่ลูกค้ายอมจ่ายค่าธรรมเนียมการซื้อ Mulan มูลค่า 30 ดอลลาร์สหรัฐ (ค่าธรรมเนียมดังกล่าวไม่ใช่สำหรับการเช่าครั้งเดียว แต่ภาพยนตร์จะถูกเพิ่มลงในคลัง Disney+ ของคุณเพื่อรับชมซ้ำได้)
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของ Mulan ไม่ได้มีเท่านั้น เพราะแม้นอกสหรัฐฯ จะมีการเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ตามปกติก็ตาม แต่ก็มาพร้อมกับกระแส #BoycottMulan ที่กำลังร้อนแรงใน Twitter ทั้งไทย เกาหลีใต้ และไต้หวัน รวมถึงประเทศอื่นๆ ซึ่งมาจากกรณีที่ หลิวอี้เฟย นักแสดงหญิงเชื้อสายจีนผู้รับเป็น มู่หลาน เคยออกมาแสดงจุดยืนสนับสนุนเจ้าหน้าที่ตำรวจฮ่องกงที่ใช้ความรุนแรงต่อประชาชนชาวฮ่องกง ในเหตุการณ์ประท้วงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเดือนสิงหาคม 2019
ต่อกรณีการ #BoycottMulan ดังกล่าว Jason T. Reed โปรดิวเซอร์ของ Mulan ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับ Yahoo Finance’s The Final Round ว่า ความตึงเครียดด้านความสัมพันธ์ระหว่างจีนและฮ่องกงนั้นซับซ้อนเป็นอย่างมาก ตัวเขาไม่มีคุณสมบัติพอที่จะคุยเรื่องนี้ในเชิงลึก แต่เขามาที่นี่เพื่อเป็นตัวแทนของภาพยนตร์เรื่องนี้
โปรดิวเซอร์ของ Mulan ระบุว่า ส่วนตัวไม่มีใครทำงานหนักและทุ่มเทให้กับตัวเองมากกว่าที่อี้เฟยทำ เธอฝึกฝนเป็นเวลา 6 เดือนก่อนที่จะเริ่มการถ่ายทำ ทั้งเรียนขี่ม้า ศิลปะการต่อสู้ และฝึกฝนการเข้าถึงตัวละคร เธอทำงานทุกวันตามตาราง ดังนั้นเขาจึงรู้สึกแย่ไปด้วยเมื่อบทสนทนากลายมาเป็นเรื่องนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
“ฉันหวังว่าเมื่อผู้ชมดูภาพยนตร์แล้วบทสนทนาจะเปลี่ยนกลับไปสู่การแสดงที่น่าทึ่งว่า เธอนั้นต้องทำงานหนักมากแค่ไหนเพื่อที่จะทำให้ตัวละครนั้นมีชีวิตขึ้นมา” โปรดิวเซอร์ของ Mulan กล่าว
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-09-05/activists-call-for-mulan-boycott-over-star-s-hong-kong-stance
- https://finance.yahoo.com/news/mulan-disney-plus-liu-yifei-hong-kong-protests-boycott-221447256.html
- https://finance.yahoo.com/news/why-disney-took-calculated-risk-to-release-200-m-mulan-tentpole-on-disney-221937009.html
- https://finance.yahoo.com/news/mulan-disney-plus-downloads-68-percent-weekend-194701349.html