ภาพรวมของตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงอยู่ในทิศทางขาขึ้นต่อไป ล่าสุด ดัชนี MSCI All Country World Index (ACWI) พุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง หลังจากดัชนีปรับตัวขึ้นราว 30% ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา หนุนจากหุ้นสหรัฐฯ ที่มีน้ำหนักประมาณ 65%
ตลาดหุ้นทั่วโลกทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ในวันนี้ (13 สิงหาคม) หนุนจากดัชนีหลักของหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง S&P 500, Dow Jones และ Nasdaq ที่ปรับตัวขึ้นกว่า 1% เมื่อคืนนี้
เช่นเดียวกับดัชนี Nikkei 225 ของตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้งที่กว่า 43,000 จุด ทำลายสถิติสูงสุดเดิมที่เคยทำไว้เมื่อ 13 เดือนก่อน ขณะที่ตลาดหุ้นไต้หวันก็ขยับเข้าใกล้จุดสูงสุดเดิม ส่วนดัชนีในตลาดเซี่ยงไฮ้พุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2021
หนึ่งในปัจจัยหนุนสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นในสัปดาห์นี้ มาจากรายงานตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ออกมาสอดคล้องกับการคาดการณ์ ช่วยคลายความกังวลเรื่องแรงกดดันด้านราคา และตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนนี้
รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ประจำเดือนกรกฎาคม ซึ่งเปิดเผยเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา (12 สิงหาคม) พบว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Underlying Inflation) เร่งตัวขึ้นในอัตราที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตลาดให้ความสำคัญคือ การปรับตัวขึ้นของราคาสินค้า (Goods Prices) ที่อยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งช่วยคลายความกังวลว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการกำแพงภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ว่าอาจจะลุกลามบานปลายจนสร้างแรงกดดันด้านราคาในวงกว้าง
อีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นคือความผ่อนคลายระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่ง บล.เอเซียพลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า เมื่อคืนนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ บวกยกแผงราว 1.1% – 3.0% โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหนุนดัชนี Nasdaq พุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ ท่ามกลางความตึงเครียดของมาตรการกำแพงภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีนดูผ่อนคลายลง เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะถึงเส้นตายการใช้มาตรการภาษีตอบโต้ในวันที่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา
ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร ขยายเวลาการพักการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน อีก 90 วัน จนถึง 10 พฤศจิกายนนี้ โดยทั้งสองฝ่ายตกลงลดการเก็บภาษีตอบโต้และผ่อนคลายข้อจำกัดการส่งออก แม่เหล็กแร่หายาก (Rare Earth Magnets) และเทคโนโลยีบางประเภท ซึ่งการเลื่อนกรอบเวลานี้ช่วยบรรเทาความกังวลว่าจะเกิดสงครามการค้ารอบใหม่ อีกทั้งจะมีเวลาเพิ่มขึ้นเพื่อหารือประเด็นค้างคา อาทิ ภาษีเกี่ยวกับการลักลอบขนเฟนทานิล, ความกังวลเรื่องจีนซื้อน้ำมันจากรัสเซียและอิหร่าน รวมทั้งข้อจำกัดการดำเนินธุรกิจของบริษัทสหรัฐฯ ในจีน เป็นต้น
หุ้นไทยเกาะกลุ่มหุ้นร้อนแรงสุดของโลกช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา
ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ดัชนี SET ของตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในดัชนีที่ปรับตัวขึ้นร้อนแรงที่สุด โดยเพิ่มขึ้นราว 11% ใกล้เคียงกับอินโดนีเซียที่กว่า 11% รองลงมาคือหุ้นญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 10% หุ้นรัสเซียเพิ่มขึ้น 9.7% และหุ้นเวียดนามเพิ่มขึ้น 8.8%
บล.เอเซียพลัส ระบุอีกว่า กระแสเงินทุน (Fund Flow) มีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทยต่อ ทั้งจากต่างชาติ และโยกจากตลาดตราสารหนี้ โดยตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 4.5 พันล้านบาท
และหากย้อนกลับไปตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยราว 2 หมื่นล้านบาท หลังจากที่ขายสุทธิไปกว่า 8 หมื่นล้านบาท ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้
ขณะเดียวกันยังมีโอกาสเห็นเม็ดเงินย้ายจากตลาดตราสารหนี้เข้าสู่ตลาดหุ้นมากขึ้น ด้วยปัจจัยต่างๆ ได้แก่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) อยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะอายุ 2 – 4 ปี ที่ต่ำกว่า 1.25% หรือต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายเกิน 0.5% ขณะที่ระดับ Market Earning Yield Gap ที่กว้างถึง 4.5% รวมทั้งภาวะ Bull Steepening Yield Curve หรือการที่ Bond Yield ระยะสั้นปรับตัวลงแรงกว่าระยะยาวในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่จะเห็นจากการเก็งว่าจะมีการลดดอกเบี้ย หรือเกิดขึ้นหลังเม็ดเงินมีการไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ปริมาณมากในช่วงก่อนหน้านี้
ภาพ: ImageSymphony / Shutterstock