×

มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. จ่อขายหุ้นไอพีโอไม่เกิน 655 แสนหุ้น ระดมทุน 5.6 พันล้าน มากสุดในรอบ 3 ปี ตั้งเป้าขยาย 1,500 สาขา เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด คาดเข้าเทรด พ.ย.นี้

15.10.2025
  • LOADING...
mrdiy-ipo-thailand-expansion-logistics

บมจ. มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) หรือ MR. D.I.Y. ผู้นำธุรกิจค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์ทั่วไป สัญชาติมาเลเซีย ซึ่งดำเนินธุรกิจในไทยยาวนานถึง 10 ปี เตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้ชื่อย่อ ‘MRDIYT’

 

โดยมีแผนเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) รวมไม่เกิน 655 แสนหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 10.9% ของจำนวนหุ้นสามัญ ที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด

 

บริษัท ตั้งเป้าระดมทุน 5,600 ล้านบาท จากการเสนอขายหุ้น IPO กรอบราคาอยู่ที่  8.30 – 8.60 บาทต่อหุ้น โดยจะเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อหุ้นได้ในระหว่างวันที่ 20 – 22 ตุลาคม 2568 

 

ส่วนราคาขายสุดท้าย ซึ่งจะกำหนดจากกระบวนการ Book-building จะประกาศภายในวันที่ 24 ตุลาคม 2568 และคาดว่าจะสามารถเข้าซื้อขาย ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ในช่วงเดือนพฤศจิกายน

 

หลังการระดมทุน ตั้งเป้าขยายสาขาทั่วประเทศไทยด้วยการเพิ่มสาขาใหม่ไม่น้อยกว่า 500 สาขา ภายในระยะเวลา 3 ปี (2568 – 2570) รวมทั้งหมด 1,500 สาขา และมีแผนลงทุน 4,500 ล้านบาท สร้างคลังสินค้าอัตโนมัติขนาดใหญ่แห่งที่ 3 เพื่อยกระดับประสิทธิภาพ ด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน (supply chain) และลดต้นทุนต่อหน่วย

 

ปัจจุบัน MR. D.I.Y. เป็นผู้นำตลาด ด้วยส่วนแบ่งตลาดที่ 9% และเป็นผู้ค้าปลีกในรูปแบบ Chain Retailer ที่เติบโตเร็วกว่าตลาดโดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 15.3% จึงเล็งเห็นโอกาสเข้า IPO ในตลาดหุ้นไทย เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในอุตสาหกรรมค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านในประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 5.4% ภายในปี 2572 มูลค่าตลาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 237,800 ล้านบาท จากมูลค่าตลาด 182,600 ล้านบาทในปี 2567

 

หลักการขยายสาขา จะพิจารณาจากสัดส่วนร้านค้าต่อประชากร ปัจจุบัน MR. D.I.Y. มีสัดส่วนอยู่ที่ 1 สาขาต่อประชากร 75,000 คน ซึ่งยังมีโอกาสเข้าถึงคนอีกมาก เมื่อเทียบกับสาขาในประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ 1 สาขาต่อประชากร 25,000 คน

 

ผลดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี โตแกร่งเหนือตลาด

 

อรอุมา ไชยรัตนตรัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผย ผลดำเนินงานย้อนหลังของบริษัทในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา เติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง 

  • ปี 2565 รายได้ 9,941 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,051 ล้านบาท
  • ปี 2566 รายได้ 12,832 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,381 ล้านบาท
  • ปี 2567 รายได้ 16,214  ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,780   ล้านบาท

 

โดยรายได้มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 3 ปี (CAGR) ที่ 28% ด้านกำไรมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 3 ปี (CAGR) ที่ 30%

 

ส่วนผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2568 ทำรายได้ไปแล้ว 9,471 ล้านบาท

เติบโต 25.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไร 1,176  ล้านบาท

เติบโต 48.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

 

3 กลยุทธ์ บริหารต้นทุน รักษาการเติบโตกำไร

 

สำหรับกลยุทธ์รักษาอัตราเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่อง อรอุมา เปิดเผยว่า เป็นผลมาจากการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ จากการเติบโตของสาขาที่เพิ่มขึ้น โดยมี key success factor 3 ข้อ

 

  1. การจัดซื้อ  

MR.D.I.Y ประเทศไทยมีจุดแข็งด้าน Economy of scale ในการจัดซื้อสินค้าซึ่งตอบโจทย์ ความต้องการลูกค้า และมีความคุ้มค่าทั้งคุณภาพและราคา เพราะอยู่ในเครือข่ายของ  MR.D.I.Y Global sourcing network ปัจจุบันบริษัทนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ได้แก่ อินเดีย เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ในสัดส่วน 75% และจัดซื้อสินค้าในประเทศไทย สัดส่วน 25% 

 

  1. ระบบบริหารจัดการสินค้า

มีระบบมอนิเตอร์ยอดขายสินค้า ว่าสินค้าไหนขายดี หรือขายไม่ดี แล้วทำการจัดอันดับสินค้า และสับเปลี่ยนสินค้าขายดีวางไว้บนเชลฟ์ที่คนสังเกตเห็นได้ง่าย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าแต่ละช่วงเวลา

 

  1. ศูนย์กระจายสินค้า

มีศูนย์กระจายสินค้าของตัวเอง ทำให้สามารถควบคุมต้นทุนค่าคลังสินค้า (Storage cost) ต้นทุนค่าโลจิสติกส์ (Logistic cost) ได้ดียิ่งขึ้น จากการประสิทธิภาพการเก็บรักษาสินค้า และความแม่นยำในการขนส่ง

 

บริหารธุรกิจค้าปลีกอย่างไรให้โตสวนตลาด แม้กำลังซื้อหด

 

แอนดี้ ชิน กวานกุ้ย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ช่วงการระบาด ของโควิด-19 กำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอลง บริษัทจึงเห็นโอกาสขยายฐานกลุ่มลูกค้า เร่งขยายสาขาไปทั่วประเทศมากกว่า 500 สาขา ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ผลลัพธ์คือ จากเดิมที่ MR.DIY มีฐานลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มรายได้ปานกลางถึงรายได้น้อย ซึ่งได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอลง

 

การขยายสาขารูปแบบ stand alone สามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ ที่มีรายได้ปานกลางค่อนไปทางสูง โดยมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 3% เป็น 18% จากเดิมที่มีสัดส่วนเพียง 15% ชี้ให้เห็นว่าการขยายสาขาช่วยสร้างการรับรู้ และดึงดูดกลุ่มลูกค้ารายได้สูง ที่หันมาซื้อสินค้าราคาคุ้มค่า

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising