×

Mr. Plankton ซีรีส์โรดทริปเกาหลีที่เหมือนไม่ได้พาผู้ชมไปไหนเลย

18.11.2024
  • LOADING...
Mr. Plankton

HIGHLIGHTS

4 min read
  • ซีรีส์ Mr. Plankton กำกับโดย ฮงจงชาน จาก Juvenile Justice และเขียนบทโดย โจยง จาก It’s Okay to Not Be Okay สิ่งที่สังเกตได้คือความพยายามรักษาสมดุลระหว่างอารมณ์ขันและอารมณ์ซึ้งๆ ด้วยการสร้างสถานการณ์ที่ตัวละครต้องเผชิญ ซึ่งนำมาสู่ความสะเทือนใจและหม่นเศร้า เช่น เมื่อ แฮโจ ได้เจอกับคนที่คิดว่าเป็นพ่อแล้วต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า และความน่าเสียดายเมื่อเวลาในชีวิตกำลังจะหมดลง แต่เพิ่งพบว่าอะไรทำให้เขามีความสุขอย่างแท้จริง ถึงอย่างนั้นก็ไม่ลืมให้รางวัลคนดูด้วยตัวประกอบหลากสีสันซึ่งเพิ่มจังหวะคอเมดี้เข้ามาในเรื่อง

Mr. Plankton คือซีรีส์เกาหลีเรื่องใหม่บน Netflix ที่ว่าด้วยเรื่องราวความสัมพันธ์ ความโดดเดี่ยว และการค้นหาความหมายในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ผสมผสานการเล่าเรื่องด้วยอารมณ์ขันและดราม่าสะเทือนอารมณ์ที่น่าจะมอบประสบการณ์ตับพังให้กับผู้ชมได้ไม่ยาก แต่จังหวะการดำเนินเรื่องที่ล่าช้าและคาแรกเตอร์ซ้ำซากก็ทำให้อรรถรสของเรื่องนี้ดูเบาลงไป

 

Mr. Plankton

 

Mr. Plankton คือเรื่องราวของ แฮโจ (อูโดฮวาน) ชายหนุ่มที่มองโลกในแง่ร้ายและต่อต้านสังคมนิดๆ เขาทำอาชีพรับจ้าง ทำทุกอย่างยกเว้นการตามหาเด็กหนีออกจากบ้านกับฆ่าคน วันหนึ่งมีเจ้าสาวว่าจ้างให้เขาลักพาตัวเธอออกจากงานแต่งงาน ซึ่งเธอดันมีแผนขโมยเงินจากว่าที่สามีที่เป็นถึงเจ้าพ่อในวงการนักเลง

 

ไม่เพียงเท่านั้นแฮโจพบว่าเขาเป็นโรคทางสมองอันเป็นผลมาจากพันธุกรรมและมีเวลาอยู่บนโลกนี้ได้อีกแค่ 3 เดือน ที่น่าเศร้าคือแฮโจเป็นเด็กที่เกิดจากความผิดพลาดในการผสมเทียม ทำให้เขาเริ่มคิดที่จะสืบหาพ่อที่แท้จริงว่าเป็นใครกันแน่

 

ในจังหวะนั้นเองแฮโจบังเอิญพบกับ โจแจมี (อียูมี) แฟนเก่าที่กำลังจะแต่งงานกับ ออฮึง (โอจองเซ) ทายาทรุ่นที่ 5 ของตระกูลเก่าแก่ โดยแม่สามียินยอมให้แต่งเพราะคิดว่าเธอตั้งท้อง แต่เธอกลับพบว่าตัวเองมีภาวะหมดประจำเดือนก่อนวัย ทำให้แฮโจตัดสินใจลักพาตัวเธอหนีไปเพื่อร่วมเดินทางหาพ่อแท้ๆ กับเขา นำมาสู่การเดินทางและการไล่ล่าจากทั้งเจ้าพ่อนักเลงและออฮึงที่หวังจะตามรักคืนใจ พร้อมๆ กับประสบการณ์ทั้งดีและร้ายเมื่อแฮโจพบกับคนที่เขาคิดว่าเป็นพ่อผู้ให้กำเนิด

 

Mr. Plankton

 

ซีรีส์เรื่องนี้กำกับโดย ฮงจงชาน จาก Juvenile Justice และเขียนบทโดย โจยง จาก It’s Okay to Not Be Okay สิ่งที่สังเกตได้คือความพยายามรักษาสมดุลระหว่างอารมณ์ขันและอารมณ์ซึ้งๆ ด้วยการสร้างสถานการณ์ที่ตัวละครต้องเผชิญ ซึ่งนำมาสู่ความสะเทือนใจและหม่นเศร้า เช่น เมื่อ แฮโจ ได้เจอกับคนที่คิดว่าเป็นพ่อแล้วต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า และความน่าเสียดายเมื่อเวลาในชีวิตกำลังจะหมดลง แต่เพิ่งพบว่าอะไรทำให้เขามีความสุขอย่างแท้จริง ถึงอย่างนั้นก็ไม่ลืมให้รางวัลคนดูด้วยตัวประกอบหลากสีสันซึ่งเพิ่มจังหวะคอเมดี้เข้ามาในเรื่อง

 

ในขณะเดียวกันก็ใส่เรื่องรักโรแมนติกระหว่างแฮโจและโจแจมีที่เหมือนเป็นไม้เบื่อไม้เมาให้ได้ฟีลจอยๆ เพียงแต่เคมีระหว่างนักแสดงกลับไม่ค่อยลงตัว เมื่อรวมกับการวางคาแรกเตอร์ให้ทั้งคู่ดูคล้ายกับคู่พระนางที่เห็นในซีรีส์เรื่องอื่นอยู่บ่อยๆ คือหล่อ เจ้าเล่ห์ เย่อหยิ่ง เก่งทุกเรื่อง แต่ภายในเปราะบาง และนางเอกคือผู้ค้นพบความเปราะบางนั้นจากการกวนประสาทกันไปมา สิ่งนี้ยิ่งทำให้ซีรีส์ขาดเสน่ห์ไป

 

ในทางกลับกันตัวละครรองกลับดึงดูดมากกว่าอย่างบทเล็กๆ ของ ยูกีโฮ (คิมมินซอก) ช่วยสร้างสีสันและความสมดุลระหว่างความตลกกับความซาบซึ้งใจให้กับเส้นเรื่อง และที่ต้องชื่นชมคือโอจองเซที่สามารถถ่ายทอดความเป็นออฮึง ทายาทตระกูลเก่าแก่ที่จิตใจดีแต่ไร้เดียงสาและดูน่าเห็นใจ อาจมีบางจังหวะที่ทำให้คิดถึงภาพบทเดิมที่เขาได้รับจาก It’s Okay to Not Be Okay อยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าสอบผ่านอยู่ดี

 

 

ความจริงแล้ว Mr. Plankton เลือกประเด็นที่น่าสนใจโดยเรื่องใหญ่ๆ คือประเด็นครอบครัวทั้งในมุมของแฮโจกับการแสวงหาความอบอุ่น นิยามคำว่าครอบครัวและ ‘บ้าน’ ที่แท้จริงของตัวเอง ส่วนโจแจมีก็ต้องต่อสู้กับค่านิยมของคำว่าครอบครัวแบบดั้งเดิม ผ่านภาวะหมดโอกาสที่จะมีลูกซึ่งไม่อาจทำให้ครอบครัวสมบูรณ์ได้ แต่กลับกลายเป็นว่าทั้ง 2 เรื่องนี้ทำออกมาได้ไม่ชัดเจน อาจเพราะไปเน้นเรื่องอารมณ์การเดินทางและเหตุการณ์อลหม่านเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งบางทีก็ออกจะมากเกินไปจนทำให้ซีรีส์มีความยาวถึง 10 ตอน ทั้งที่จบได้ใน 6 หรือ 8 ตอนเนื้อหาก็น่าจะกระชับกว่านี้

 

ส่วนอีกประเด็นก็เป็นไปตามชื่อเรื่องคือ Mr. Plankton ที่เหมือนการเปรียบเทียบว่า แม้แต่สิ่งมีชีวิตที่เล็กที่สุดก็ยังมีคุณค่า โดยตัวละครทั้งหมดต้องต่อสู้กับความรู้สึกไร้ค่าและโหยหาบางสิ่งบางอย่างที่มีความหมาย ซีรีส์จึงพาเข้าไปสำรวจความซับซ้อนของอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์ แต่สุดท้ายก็ทิ้งตัวละครและผู้ชมไว้โดยไม่คลี่คลายอย่างที่ควรจะเป็น แม้ช่วงท้ายซีรีส์จะมีซีนซึ้งๆ กระตุ้นอารมณ์ได้ แต่ก็ถ่ายทอดออกมาอย่างรวดเร็วทั้งที่น่าจะขยายความมากกว่านี้ และมีอีกหลายจุดที่ดูไม่สมเหตุสมผลเท่าที่ควร

 

 

อย่างไรก็ตาม Mr. Plankton ก็เป็นซีรีส์ที่ดูได้และชุบชูหัวใจได้บ้างจากมัดกล้ามของอูโดฮวาน ทั้งๆ ที่น่าจะมาจากความทะเยอทะยานในการเลือกประเด็นดีๆ มากกว่า เพราะการวางจังหวะและส่วนผสมยังไม่กลมกล่อม จนกลายเป็นหนึ่งซีรีส์ที่ดูจบแล้วก็ปล่อยผ่านไป แทบจำอะไรจากเรื่องนี้ไม่ได้อีกเลย

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X