×

สส. จุลพงศ์ ชี้ ‘รฟท.-กรมที่ดิน’ ยื้อเวลาแก้ปัญหาที่ดินเขากระโดง หวังใช้ต่อรองทางการเมืองระหว่างสองพรรคใหญ่ร่วมรัฐบาล

โดย THE STANDARD TEAM
06.12.2024
  • LOADING...
เขากระโดง

วันนี้ (6 ธันวาคม) ที่อาคารอนาคตใหม่ จุลพงศ์ อยู่เกษ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน แถลงข่าวกรณีข้อพิพาทที่ดินเขากระโดง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม และกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย ว่าข้อพิพาทดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่ากำลังมีการเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง หรือกำลังมีการต่อรองผลประโยชน์ทางการเมืองของสองพรรคใหญ่ในรัฐบาลขณะนี้ 

 

ความเป็นมาเรื่องที่ดินเขากระโดงเริ่มต้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ที่ประเทศไทยกำลังขยายเส้นทางรถไฟไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง มีการออก พ.ร.ฎ.กำหนดเขตสร้างทางรถไฟหลวงต่อจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี พ.ศ. 2462 และต่อมาได้ออก พ.ร.ฎ.ว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นเพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ พ.ศ. 2463 มีการเวนคืนที่ดินตาม พ.ร.ฎ. ฉบับนี้ และกำหนดแผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟ (รฟท. ในปัจจุบัน) ที่มีพื้นที่รวมกัน 5,083 ไร่ และที่มีการเวนคืนที่ดินที่ย่อยศิลา เพราะเป็นบริเวณที่มีแหล่งภูเขาหินคือเขากระโดง ที่กรมรถไฟจะใช้วัตถุดิบหินเพื่อเอามาใช้ปูฐานในการสร้างทางรถไฟ

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นมีคนมารุกล้ำอยู่อาศัยในที่ดินบริเวณดังกล่าว มีการออกโฉนดและเอกสารสิทธิ์จนถึงปี 2539 รฟท. จึงมาเริ่มตรวจสอบและเพิกถอนโฉนดที่ดินบริเวณเขากระโดง จนเป็นเหตุให้เกิดกรณีข้อพิพาท มีการฟ้องร้องถึงศาลฎีกา ศาลปกครอง มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการออกโฉนดและเอกสารสิทธิ์ตามมาตรา 61 ของประมวลกฎหมายที่ดิน 

 

จนล่าสุดมีการออกคำสั่งจากอธิบดีกรมที่ดินในปี 2567 ที่เห็นด้วยกับมติคณะกรรมการตรวจสอบที่ดิน ไม่เพิกถอนโฉนดและเอกสารสิทธิ์ที่ดินหลายแปลง ซึ่งล่าสุด รฟท. ยื่นอุทธรณ์คำสั่งอธิบดีกรมที่ดินต่อกรมที่ดินไปเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2567

 

จุลพงศ์กล่าวต่อว่า คำถามที่สังคมสงสัยกันมากคือ เมื่อมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842-876/2560 ที่ชาวบ้าน 35 รายบนที่ดิน 170 ไร่ ซึ่ง 2 ใน 3 มีกระแสข่าวว่าอาจเป็นนอมินีนักการเมืองยื่นฟ้อง รฟท. และกรมที่ดินเพื่อขอให้ออกโฉนด จนศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท. ไปแล้ว แล้วทำไมอธิบดีกรมที่ดินจึงมีคำสั่งในปี 2567 ไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินตามมติคณะกรรมการสอบสวนที่อ้างว่า รฟท. ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีกรรมสิทธิ์ที่ดิน และทั้งที่มีคำพิพากษาศาลฎีกาในปี 2561, คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในปี 2563 ในคดีที่ รฟท. ฟ้องขับไล่ชาวบ้าน และคำพิพากษาศาลปกครองในปี 2566 ยืนยันว่าที่ดินเขากระโดงเป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท. แล้ว

 

ผู้คนสงสัยว่ามติคณะกรรมการที่อธิบดีกรมที่ดินตั้งขึ้น และคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินนั้นใหญ่กว่าคำพิพากษาของศาลหรืออย่างไร กรมที่ดินยกข้ออ้างขึ้น 3 ข้อ ว่า 1. กรมที่ดินได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลฎีกา และการตั้งคณะกรรมการเป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครอง 2566 แล้ว 2. คำพิพากษามีผลเฉพาะพื้นที่ที่โจทก์ฟ้อง รฟท. เท่านั้น ไม่ได้ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 5,083 ไร่แต่อย่างใด และ 3. คำพิพากษาของศาลที่มีมาทั้งหมดไม่ผูกพันคนภายนอกรวมทั้งกรมที่ดิน

 

ชี้ที่ดินแหล่งวัสดุสร้างทางรถไฟเป็นที่ดินหวงห้าม

 

จุลพงศ์กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม ข้ออ้างของกรมที่ดินนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะหากอ่านคำสั่งศาลฎีกาที่ 842-876/2560 โดยละเอียด มีการวินิจฉัยว่าที่ดินทั้ง 5,083 ไร่เป็นของ รฟท. เพราะการสำรวจที่ดินเพื่อกำหนดเขตที่ดินในการสร้างทางรถไฟในปี 2464 ดำเนินการโดยครบถ้วน กรมรถไฟจัดทำแผนที่แสดงแนวเขตที่ดินของกรมรถไฟโดยชัดแจ้ง และโดยที่ที่ดินบริเวณเขตที่ดินของกรมรถไฟนั้นมีสภาพเป็นป่า ยังไม่มีผู้ใดครอบครองทำประโยชน์ 

 

เมื่อกรมรถไฟในขณะนั้นเข้าไปทำประโยชน์บนที่ดินเป็นแหล่งวัสดุสำหรับการก่อสร้างทางรถไฟ จึงถือว่าเป็นการหวงห้ามที่ดินว่างเปล่าไว้ในราชการตามกฎหมายแล้ว ที่ดินจึงเป็นลักษณะที่ดินของกรมรถไฟและได้รับความคุ้มครอง ดังนั้นข้ออ้างกรมที่ดินที่ระบุว่าปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้วถูกเพียงครึ่งเดียว คือมีการแต่งตั้งคณะกรรมการตามคำสั่งของศาลปกครอง แต่กลับไม่นำเอาคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีต่างๆ มาปฏิบัติตามด้วย

 

ส่วนข้ออ้างที่ว่าคำพิพากษามีผลเฉพาะพื้นที่โจทก์ฟ้องการรถไฟเท่านั้นก็ฟังไม่ขึ้น เพราะในเนื้อหาคำพิพากษาข้างต้นศาลวินิจฉัยไว้ชัดเจนแล้วว่าการสำรวจเพื่อการกำหนดเขตที่ดินทั้งหมดมีการดำเนินการโดยครบถ้วนถูกต้องแล้ว กรมที่ดินกลับมาอ้างว่าเป็นคำวินิจฉัยเฉพาะที่ดินพิพาทในแต่ละคดีได้อย่างไร 

 

ส่วนที่อ้างว่าคำพิพากษาของศาลที่มีทั้งหมดไม่ผูกพันบุคคลภายนอก ตามมาตรา 145 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น เป็นการอ้างหลักกฎหมายตามวรรคแรกเท่านั้น จงใจละเลย ไม่อ้างข้อยกเว้นหลักที่มีอยู่ในวรรค 2 อนุมาตรา 2 ที่บัญญัติว่าคำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใดๆ เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใดอาจใช้ยันบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกนั้นพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า

 

นอกจากนี้คำพิพากษาศาลปกครองกลางที่ 582/2566 ที่ รฟท. ยื่นฟ้องกรมที่ดิน ศาลพิพากษาในประเด็นนี้ว่า คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842-876/2560 วินิจฉัยอย่างชัดแจ้งถึงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ของผู้ถูกฟ้องคดีหรือ รฟท. แล้ว จึงสามารถใช้ยันกับบุคคลภายนอกได้ หาได้มีผลผูกพันแต่เฉพาะคู่ความตามที่กรมที่ดินกล่าวอ้างแต่อย่างใดไม่

 

แนวทางแก้ปัญหาวนลูป

 

จุลพงศ์กล่าวว่า คดีที่ปัจจุบัน รฟท. ยื่นอุทธรณ์คำสั่งกรมที่ดินอยู่นั้น หากอธิบดีกรมที่ดินไม่เห็นด้วยกับอุทธรณ์ดังกล่าว รฟท. ต้องไปฟ้องศาลปกครองกลางให้เพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ซึ่งต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 5 ปีจนกว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษา และหากศาลปกครองกลางและศาลปกครองสูงสุดเห็นด้วยกับอุทธรณ์ของ รฟท. และเพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ผลทางกฎหมายจะย้อนกลับไปเช่นเดิม คืออธิบดีกรมที่ดินต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนชุดใหม่ วนเวียนอยู่เช่นนี้

 

คำถามคือทั้ง รฟท. และกรมที่ดินย่อมทราบดีว่าต้องวนอยู่เช่นนี้จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมือง และ รฟท. เองก็มีช่องทางทางกฎหมายที่เร็วกว่านี้ที่ประชาชนจะไม่ต้องเดือดร้อนถูกฟ้องขับไล่ด้วย แต่เหตุใด รฟท. กลับเลือกวิธีทางปกครองที่ช้ากว่า 

 

ตนจึงขอตั้งคำถามถึง รฟท. ดังนี้

 

  1. เหตุใด รฟท. จึงไม่ยื่นเอกสารแผนที่แสดงแนวเขตที่ดินชุดเดียวกับที่ยื่นต่อศาลฎีกา ซึ่งแสดงถึงเขตที่ดินของ รฟท. ที่ครบถ้วนและที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท. ทำไมไม่ยื่นเอกสารชุดเดียวกันนั้นต่อคณะกรรมการสอบสวนของกรมที่ดิน จนมติของคณะกรรมการสอบสวนอ้างได้ว่า รฟท. ไม่มีเอกสารแนวเขตที่ถูกต้องมาแสดง

 

  1. หาก รฟท. หาเอกสารดังกล่าวไม่พบจริงตามที่เจ้าหน้าที่ รฟท. ตอบในที่ประชุมคณะกรรมาธิการที่ดินฯ ของสภาผู้แทนราษฎร เมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ก่อน แล้วเอกสารที่อ้างในศาลนั้นหายไปไหน หายไปเมื่อไร สมัยใครเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

 

  1. ทำไม รฟท. จึงไม่เลือกวิธียื่นฟ้องกรมที่ดินต่อศาลปกครอง เพื่อให้กรมที่ดินเพิกถอนโฉนดที่ดินและเอกสารสิทธิ์ที่ดินทั้งหมดในพื้นที่ 5,083 ไร่ เมื่อศาลปกครองมีคำพิพากษาตามคำขอแล้ว กรมที่ดินก็ย่อมทำได้ แต่เพียงเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินเหล่านั้น ไม่มีอำนาจมาตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นอีก รฟท. ก็ไม่ต้องฟ้องขับไล่คนในพื้นที่ดังกล่าว และจะให้เช่าหรืออย่างไรก็ว่ากันไป ทำไม รฟท. จึงเลือกใช้วิธีที่นานและวนเวียนเช่นนี้ หรือ รฟท. ดึงเรื่องไว้เพื่อวัตถุประสงค์ใดหรือไม่

 

เพิกถอนโฉนดและกรรมสิทธิ์ที่ดินไม่เท่าเทียม

 

นอกจากนี้ตนยังมีคำถามถึงกรมที่ดิน ว่าทำไมจึงมีการเพิกถอนโฉนดและกรรมสิทธิ์ที่ดินของชาวบ้านบางแปลงโดยใช้อำนาจอธิบดีกรมที่ดิน แต่บางแปลงกลับใช้วิธีตั้งคณะกรรมการสอบสวน ทำไมถึงมีการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมกัน และจริงหรือไม่ที่ที่ดินตามโฉนดที่ระบุในคำสั่งคณะกรรมการสอบสวนล่าสุด ที่อธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งตามมติคณะกรรมการไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิ์นั้น ส่วนหนึ่งเป็นที่ตั้งของสนามแข่งรถในอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ที่เจ้าของที่ดินเกี่ยวข้องกับนักการเมืองระดับชาติ

 

“นี่เป็นคำถามที่ทั้งสองหน่วยงานต้องตอบให้ชัดเจน กรณีที่ดินเขากระโดงเป็นตัวอย่างของการใช้ช่องว่างทางกฎหมายและการเลือกปฏิบัติ ซึ่งไม่ว่าท่านจะถูกสั่งให้ทำหรือจงใจทำเพื่อเอาใจผู้มีอำนาจ แต่หากการเมืองมีการเปลี่ยนแปลงไปเมื่อใด คนที่จะได้รับผลร้ายคือข้าราชการกรมที่ดินและเจ้าหน้าที่ของการรถไฟอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และในฐานะสมาชิกพรรคฝ่ายค้าน เราจะติดตาม ตรวจสอบ และตั้งคำถามกับฝ่ายบริหารต่อไป” จุลพงศ์กล่าว

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X