ในฐานะนักข่าวกีฬาและคนที่อยู่ในวงการสื่อ รีวิวนี้จึงไม่ใช่การวิเคราะห์จากมุมมองของนักวิจารณ์ภาพยนตร์โดยตรง หากแต่เป็นมุมมองของ “แฟนกีฬา” และ “แฟน F1” ผู้มีโอกาสได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในรอบสื่อเป็นพิเศษ
F1 The Movie คือโปรเจกต์ที่แฟนๆ มอเตอร์สปอร์ตรอคอยมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่มีข่าวความร่วมมือระหว่าง F1, Apple และทีมผู้สร้างจาก Top Gun: Maverick ซึ่งได้ผู้กำกับมากฝีมืออย่าง โจเซฟ โคซินสกี มานั่งแท่นผู้กำกับ
เราได้เห็นภาพของ แบรด พิตต์ และ แดมสัน อิดริส เข้าร่วมถ่ายทำในเรซจริงหลายสนามตลอดฤดูกาล รวมถึงภาพของ เซอร์ ลูอิส แฮมิลตัน ซึ่งมีบทบาททั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังในฐานะผู้อำนวยการสร้าง ก็ยิ่งช่วยปลุกกระแสความน่าสนใจของหนังให้พุ่งขึ้น
ความ Hype เพิ่มขึ้นอีกเมื่อมีการปล่อยตัวอย่างภาพยนตร์ระหว่างการถ่ายทอดสด Super Bowl เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เราตั้งตารอการชมหนังเรื่องนี้อย่างจริงจัง
สำหรับเรื่องย่อที่ออกมาอย่างเป็นทางการ (ซึ่งไม่นับเป็นการสปอยล์) คือ แบรด พิตต์ รับบทเป็น “ซอนนี เฮย์ส” อดีตนักแข่ง F1 ผู้มีพรสวรรค์แต่ชีวิตพังทลายหลังประสบอุบัติเหตุร้ายแรงเมื่อ 30 ปีก่อน
ในขณะที่เขาใช้ชีวิตไปวันๆ รับจ้างแข่งรถเล็กๆ ตามท้องถนน เขาได้พบกับ “รูเบน” (รับบทโดย ฮาเวียร์ บาร์เด็ม) เพื่อนเก่าที่ปัจจุบันเป็นเจ้าของทีม F1 ชื่อว่า APXGP ซึ่งกำลังประสบปัญหาขาดความสำเร็จ และได้ชวนซอนนีกลับเข้าสู่การแข่งขันระดับสูงอีกครั้ง
ที่นั่น ซอนนีได้พบกับ “โจชัว เพียร์ซ” (แดมสัน อิดริส) นักขับรุ่นใหม่มากฝีมือแต่ยังขาดวุฒิภาวะ ซึ่งกลายมาเป็นทั้งคู่แข่งและเพื่อนร่วมทีม
หนังพาเราไปรู้จักตัวตนของซอนนีอย่างรวดเร็วในช่วง 10 นาทีแรก ก่อนจะพาเข้าสู่บรรยากาศของการแข่งขัน F1 ได้อย่างลื่นไหล แม้โครงเรื่องจะเดินตามสูตรภาพยนตร์กีฬา แต่ก็เล่าได้น่าติดตาม และมีหลายเหตุการณ์ที่แม้จะถูกปรับให้ดราม่าขึ้น แต่ก็ “พอจะเป็นไปได้” ในโลกแห่ง F1 จริงๆ
สำหรับแฟน F1 หนังเรื่องนี้แทบจะเป็น “ของขวัญ” ด้วยซ้ำ เพราะเต็มไปด้วยฉากการแข่งขันที่สมจริง มีนักขับตัวจริงโผล่มาเป็น Easter Egg หลายคน ไม่ว่าจะเป็น แม็กซ์ เวอร์สแตพเพน, ชาร์ลส์ เลอแคลร์, จอร์จ รัสเซลล์ หรือแม้แต่ ลูอิส แฮมิลตัน เอง
ถึงแม้โฟกัสหลักจะยังอยู่ที่ทีมสมมติอย่าง APXGP แต่การมีตัวละครจากโลกความจริงมาร่วมสร้างสีสันก็ทำให้หนังมีชีวิตชีวาขึ้นมาก
จุดเด่นอีกอย่างของหนังคือ ดนตรีประกอบ ซึ่งได้ ฮานส์ ซิมเมอร์ มาสร้างสรรค์ score ช่วยเพิ่มอารมณ์ให้ฉากต่างๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม รวมถึงการเลือกเพลงประกอบแต่ละช่วงก็ทำได้ถูกจังหวะ
ด้านภาพและการกำกับของ โคซินสกี ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ด้วยมาตรฐานเดียวกับ Top Gun: Maverick การถ่ายทำบนสนามแข่งจริง การใช้กล้องมุมต่ำ และภาพสปีดสูง ทำให้สัมผัสได้ถึงอารมณ์ F1 แบบเต็มๆ โดยไม่ต้องใช้ CG เกินความจำเป็น
ในแง่ความสมจริง หนังอาจมีการปรุงแต่งเพื่อความบันเทิง เช่น การวางกลยุทธ์หรือบทสนทนาผ่านวิทยุระหว่างนักแข่งกับทีม ที่ในความเป็นจริงอาจเต็มไปด้วยคำหยาบและภาษาระดับ “ติดเรต” แต่หนังก็เลือกลดทอนให้ดูเป็นมิตรกับผู้ชมทั่วไปมากขึ้น
แม้จะมีความพยายามขาย F1 อย่างชัดเจน ทั้งสถานที่ และบรรยากาศ หรือภาพจำลองความหรูหราของ Paddock Club รวมไปถึงแบรนด์ต่างๆ แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในกรอบที่รับได้สำหรับหนังที่เกี่ยวข้องกับวงการกีฬาอาชีพ
F1 The Movie ยังถือเป็นหนังที่เป็น “จุดเริ่มต้น” ที่ดีมากสำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก F1 เพราะหนังเล่ากฎกติกาพื้นฐานอย่างเรื่องยาง, การเข้าพิต, การวอร์มยาง และระบบคะแนน ผ่านบทสนทนาอย่างแนบเนียนและเข้าใจง่าย
F1 The Movie คือหนังที่แฟน F1 จะหลงรัก ด้วยการนำเสนอโลกแห่งมอเตอร์สปอร์ตแบบสมจริงและมีชีวิตชีวา ขณะเดียวกันก็เป็นหนังที่คนทั่วไปสามารถดูได้สนุก เพลิน ไม่ต้องมีพื้นฐานก็เข้าใจ
ใครที่รัก F1 จะรู้สึกอบอุ่นหัวใจที่ได้เห็นกีฬาที่ตนเองชื่นชอบถูกถ่ายทอดผ่านภาพยนตร์ระดับฮอลลีวูด ส่วนใครที่ไม่รู้จัก F1 เลย อาจออกจากโรงด้วยความรู้สึกอยากเปิดทีวีดูสนามต่อไปจริงๆ ก็เป็นได้
F1 The Movie เข้าฉายอย่างเป็นทางการในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายนนี้เป็นต้นไป