วันนี้ (19 พฤษภาคม) ที่ไบเทค บางนา พรรคก้าวไกลจัดงานมหกรรมนโยบายพรรคก้าวไกล Policy Fest ครั้งที่ 1 ‘ก้าวไกล Big Bang’ โดยมี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ปาฐกถาพิเศษ ‘Why 6 Big Bang’ โดยกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของ Policy Fest ครั้งนี้ว่า เนื่องจากพรรคก้าวไกลอยากเห็นการเมืองเป็นเรื่องสนุกและเป็นเรื่องของทุกคน เหตุผลที่ต้องมีถึง 6 Big Bang เพราะพรรคก้าวไกลอยากเป็นฝ่ายค้านเชิงรุกที่มีวาระเป็นของตนเอง ทุกคนที่อยู่ที่นี่คงจำได้ว่าตอนที่ตนอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ต่อหน้าคณะรัฐมนตรี เมื่อได้ฟังการชี้แจงและไม่ทราบว่าวาระในการเข้ามาเป็นรัฐบาลและการทำงานเพื่อประชาชนคืออะไร
“วันนี้เป็นวันที่พิสูจน์ว่าพรรคก้าวไกลไม่เหมือนพรรคอื่น และเรามีโปรเจกต์ทางการเมือง มีวาระทางการเมือง 6 อย่างที่หากปล่อยทิ้งไว้จะเป็นระเบิดเวลาของประเทศ แต่ถ้าพวกเราตั้งใจทำงาน ตั้งใจสร้างนโยบายการเมืองให้เป็นเรื่องสนุก ผมเชื่อว่าเราสามารถเปลี่ยนระเบิดเวลา 6 ลูกนี้ให้กลายเป็นศักยภาพของประเทศไทยได้” พิธากล่าว
พิธากล่าวต่อว่า วันนี้ที่เรามารวมตัวกันในเดือนพฤษภาคมของประเทศไทย ซึ่งเป็นเดือนที่มีความรู้สึกปนเปกันไป บางช่วงของประวัติศาสตร์เดือนพฤษภาคมคือพฤษภาแห่งความกลัว บางปีเดือนพฤษภาคมก็เป็นพฤษภาแห่งความหวัง เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 คือวันที่ 14 ล้านหัวใจทั่วประเทศไทยรวมกันเป็นหัวใจหนึ่งเดียวที่อยากจะเห็นการเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต การเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ที่พี่น้องประชาชนทั่วประเทศไทยและทั่วโลกออกมาใช้สิทธิ ใช้เสียง เข้าคูหาด้วยความหวัง ไม่ว่าท่านจะชอบหรือไม่ชอบพรรคก้าวไกล ไม่ว่าท่านจะเลือกหรือไม่เลือกพรรคก้าวไกล ทุกคนต้องยอมรับว่าทศวรรษที่สูญหายตั้งแต่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ยึดอำนาจจนถึงการเลือกตั้ง นี่คือการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ที่ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุดและบริสุทธิ์ยุติธรรมมากที่สุด
พิธายกสมการความหวัง พร้อมอธิบายถึงการทำงานของฝ่ายค้านเชิงรุกที่ควรมีส่วนประกอบของ
- ผู้นำที่เข้มแข็ง
- ประชาชนที่พร้อมแข่งขัน
- ความเชื่อใจในกันและกัน
ว่าถ้าประเทศไหนมี 3 องค์ประกอบนี้ ประเทศนั้นจะมีความหวังเสมอไม่ว่าจะเจอกับอุปสรรคหรือความท้าทายแบบไหน นี่คือสาเหตุที่เราอยากจะบอกว่า ในการเมืองไทยมีพรรคการเมืองที่หลากหลาย ยังมีพรรคอย่างพรรคก้าวไกลที่พยายาม พรรคก้าวไกลยังไม่เป็นพรรคที่สมบูรณ์แบบ เรายังมีเรื่องที่ต้องพัฒนาอีกเยอะ แต่อย่างน้อยเราพยายามอย่างเต็มที่ที่จะซื่อสัตย์กับประชาชนและกับตนเอง
“ผมก็ไม่อยากเป็นคนที่ค้านทุกเรื่อง หากพรรคตัวเองไม่มีวาระ ถ้าเป็นแบบนั้นผมก็รับไม่ได้เหมือนกัน แล้วอะไรคือวาระทางการเมืองของคุณที่จะเอาภาษีของพี่น้องประชาชน เอาความไว้วางใจที่มั่นใจว่าคราวหน้าจะได้มากขึ้นอีก สงสัยคราวหน้าต้อง 270 เสียงเสียแล้ว หรือจะเอา 300 เสียง ตามตรรกะคูณ 2 แต่ผมไม่ได้พูดเล่นๆ ไม่ได้พูดเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีวาระที่ต้องการจะขับเคลื่อน”
พิธากล่าวถึงวาระดังกล่าวว่า ถ้าประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ก็สามารถพูดได้และเข้ามามีส่วนร่วมได้ ซึ่งประกอบไปด้วย 6 ข้อ แบ่งเป็น
วาระเฉพาะหน้า
- เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีคุณภาพ
- เรียนรู้ทันโลก
- ยกระดับคุณภาพชีวิต
วาระเฉพาะกาล
- ปลดล็อกชนบทไทย
- ปฏิรูปรัฐครั้งใหญ่
- ประชาธิปไตยเต็มใบ
พิธากล่าวด้วยว่า แทนที่จะคิดนโยบายโดยเอากระทรวงมาเป็นตัวตั้งโดยไม่เกิดการบูรณาการ เราต้องคิดแบบเอาวาระเป็นตัวตั้ง ให้หลายกระทรวงมารวมเป็นวาระเดียวกันได้ ไม่ต้องต่างคนต่างทำ ตอนที่เป็นไทยแลนด์ 4.0 ทุกกระทรวงของบประมาณมาสร้างถนน ขอสัมมนาภายใต้ไทยแลนด์ 4.0 แต่ละกระทรวงต่างคนต่างคิดแล้วก็มารวมกัน ตอนนี้ทุกอย่างอยู่ใต้ซอฟต์พาวเวอร์ ทุกอย่างเป็นซอฟต์พาวเวอร์หมดเลย ก็เปลืองภาษีของท่าน ถึงต้องเอาปัญหาของประชาชนและประเทศมาเป็นที่ตั้ง” พิธากล่าว
“เรามาเดินทางไปด้วยกัน แม้ว่าเขาจะทำอะไรกับพรรคเรา เขาก็ทำลายจิตวิญญาณของพวกเราไม่ได้ แม้ว่าเขาพยายามจะทุบ ทำลายพรรคการเมืองของเราไป หรือจะไม่ทุบก็แล้วแต่ เราจะหยิบอิฐกันคนละก้อน แล้วมาสร้างบ้านหลังใหม่ของพวกเราไปด้วยกัน อย่างไรผมอยู่กับพวกคุณแน่นอน” พิธากล่าว
ทั้งนี้ บรรยากาศตั้งแต่ช่วงเช้ามีประชาชนเดินทางมาร่วมงาน โดยพบว่า ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานรัฐสภาคนที่ 1 เดินทางมาร่วมงานด้วย
