×

MotoGP ไทย กับอนาคตที่ไม่แน่นอนหลังเส้นชัยปี 2026

03.03.2025
  • LOADING...
motoGP-thai-future

ช่วงเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง หลังชัยชนะของ มาร์ก มาร์เกซ ใน MotoGP สนามแรกของฤดูกาล 2025 อย่าง พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์ มีอะไรเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตของการแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลกรายการนี้

 

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะหลังจากผ่านพ้นการจัดการแข่งขัน MotoGP Grand Prix of Thailand 2025 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นทำให้ สัญญาการจัดการแข่งขัน MotoGP ระหว่าง ดอร์นา สปอร์ต กับ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต กำลังจะเข้าสู่ปีสุดท้ายของสัญญา 

 

นั่นหมายความว่า หากไม่มีการดำเนินการใดๆ ปี 2026 จะเป็นปีสุดท้าย ที่ MotoGP จะมีการจัดการแข่งขันในสนามที่ประเทศไทย

 

ร่องรอยความระแคะระคาย

 

ที่ผ่านมา ไทย ได้จัดการแข่งขัน MotoGP มาตั้งแต่ปี 2018 ภายใต้สัญญา 2 ฉบับ นั่นคือ ฉบับแรก 3 ปี ระหว่างปี 2018-2020 และ ฉบับที่ 2 เป็นเวลา 6 ปี ตั้งแต่ปี 2021-2026 ขณะที่ตัวเลขตามรายงาน สัญญาฉบับแรก จะมีมูลค่าอยู่ที่ 1,200 ล้านบาท และสัญญาฉบับที่ 2 อยู่ที่ราว 1,800 ล้านบาท

 

ที่ผ่านมา รัฐบาลมีส่วนร่วมในการสนับสนุนงบประมาณค่าลิขสิทธิ์ในการจัดการแข่งขัน MotoGP ในประเทศไทย ภายใต้สัญญาทั้ง 2 ฉบับ โดยฉบับแรก ภาครัฐสนับสนุนเงินราว 300 ล้านบาท ขณะที่ในสัญญาฉบับที่ 2 รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณราว 50% เป็นเงิน 900 ล้านบาท จากค่าลิขสิทธิ์รวม 50 ล้านยูโร คิดเป็นเงิน 1,800 ล้านบาท

 

แต่นั่นเองก็เป็นจุดสำคัญของความฝุ่นตลบเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของอนาคตการจัด MotoGP ในประเทศไทยหลังจากนี้เช่นกัน

 

THE STANDARD SPORT อยู่ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และเราก็ได้ยินเรื่องราวความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ถูกพูดถึงตั้งแต่ช่วงเย็นของวันเสาร์ (1 มีนาคม) แล้ว แต่ดูเหมือนจะเป็นการพูดคุยและวิเคราะห์กันไปต่างๆ นานามากกว่า

 

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกมาพูดคุยกัน คือเรื่องของ งบประมาณของรัฐบาล เนื่องจากในตอนนี้อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่า ภาครัฐกำลังเดินหน้าเพื่อนำการแข่งขันในศึก ฟอร์มูลาวัน หรือ F1 มาจัดการแข่งขันที่ไทย ทำให้อาจจะส่งผลต่องบประมาณในการสนับสนุนค่าลิขสิทธิ์ในการจัดการแข่งขัน MotoGP

 

จนในช่วงเช้าวันอาทิตย์ ประเด็นนี้ถูกพูดถึงและมีการวิเคราะห์กันไปในวงกว้าง หลังมีการยืนยันว่า ดร. ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย จะเข้ามาชมการแข่งขัน และจะมีการแถลงสรุปภาพรวมและความสำเร็จของการจัดการแข่งขัน MotoGP ในครั้งนี้

 

กกท. ยืนยัน พิจารณาต่อสัญญา MotoGP แน่นอน

 

แน่นอนว่าหลังเรซจบลง คำถามเกี่ยวกับอนาคตของ MotoGP ในประเทศไทย ถูกประเคนใส่ผู้ว่าฯ กกท. อย่างต่อเนื่อง แต่ถึงอย่างนั้น ดร.ก้องศักด ก็ยืนยันว่า ไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ในการเสนอตัวเพื่อต่อสัญญาการเป็นเจ้าภาพ MotoGP สนามประเทศไทยในอนาคต

 

โดย ดร.ก้องศักด กล่าวว่า “แน่นอนว่าการแข่งขันการเป็นเจ้าภาพสูงขึ้น หลายประเทศก็จ่อคิวรออยู่ ถ้าไทยไม่ตัดสินใจ ก็มีหลายประเทศรออยู่ ซึ่งทุกอย่างต้องชัดเจนก่อน 1 ปี เพราะดอร์น่าจะต้องจัดการเรื่องสนามให้ลงตัว ถ้าไทยไม่เป็นเจ้าภาพต่อดอร์น่าก็จะต้องไปคุยกับประเทศอื่นๆ แทน ซึ่งในเชิงปฏิบัติเราพร้อมอยู่แล้ว จากคำชมและมูลค่าทางเศรษฐกิจต่างๆ แต่ก็ต้องนำเสนอให้ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจอีกที”

 

อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าฯ กกท. ก็ถูกถามจี้ในประเด็นเกี่ยวกับเรื่องการเป็นเจ้าภาพ F1 ของไทย ที่อาจจะส่งผลต่องบประมาณในการจัดการแข่งขัน MotoGP ซึ่งคำตอบที่ได้มาคือ “ถ้าจะจัดทั้งสองรายการ ในแง่งบประมาณก็ต้องให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด รัฐบาลเองก็ให้ความสำคัญประเด็นนี้ ไม่อยากให้รัฐเป็นผู้ลงทุนฝ่ายเดียว อยากให้เอกชนมีบทบาทมากขึ้น”

 

ระเบิดลูกใหญ่และฝุ่นควันที่ตลบอบอวล

 

คำตอบของ ดร.ก้องศักด ดูเหมือนว่าเรื่องจะจบลงด้วยดี แต่หลังจากนั้นไม่นาน ประเด็นก็ถูกโหมกระพือขึ้นมาอีก หลัง เพจลุงเนวิน โพสต์ข้อความที่เหมือนเป็นการทิ้งระเบิด โดยใจความสำคัญที่ทำให้เรื่องเกี่ยวกับการต่อสัญญา MotoGP มีฝุ่นตลบขึ้นมานั่นคือเนื้อหาโพสต์ที่ระบุว่า “อย่างไรก็ตาม ผม เพิ่งได้รับทราบอย่างเป็นทางการจากการกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นข่าวเดียวกันกับที่แฟน MotoGP ได้ยินมาก่อนหน้านี้ คือ รัฐบาล จะลงทุนจัดการแข่งขัน MotoGP ปี 2026 เป็นปีสุดท้าย และจะไม่ต่อสัญญาจัดการแข่งขัน MotoGP อีกแล้ว ซึ่งต้องยอมรับการพิจารณาตัดสินใจของรัฐบาล 

 

“แม้ว่าจะรู้สึกเสียดายอย่างมาก เพราะการจัดการแข่งขัน MotoGP รัฐบาลลงทุน ปีละไม่เกิน 500 ล้านบาท และมีภาคเอกชนเข้ามาร่วมสนับสนุนอีกไม่น้อยกว่าปีละ 300 ล้านบาท แต่สร้างเงินทุนหมุนเวียนส่งเสริมธุรกิจ กระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่า 5,000 ล้านบาท 

 

“แต่เมื่อรัฐบาลตัดสินใจแล้ว สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ในฐานะผู้สนับสนุนรายหนึ่ง ก็ต้องยอมรับและขอแจ้งให้แฟน MotoGP ชาวไทยได้ทราบว่า ปีหน้าจะเป็นปีสุดท้ายของ Thai GP หากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารวมถึงรัฐบาลไม่ทบทวนการตัดสินใจ และยังคงยืนยันที่จะไม่ต่อสัญญาจัดการแข่งขัน MotoGP ในประเทศไทย”

 

นอกจากนี้ยังมีการเผยแพร่บทสัมภาษณ์ของ เนวิน ชิดชอบ ในเวลาต่อมาด้วยว่า เรื่องนี้พูดยาก แต่จะพูดตรงๆ ความสำเร็จของ MotoGP ที่บุรีรัมย์ มันปรากฏให้เห็นแล้วว่าเป็นความยั่งยืน ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวสำหรับแฟนมอเตอร์สปอร์ต สร้างอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้ไทยและบุรีรัมย์ แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวมาใช้เงินหลายพันล้าน และยังเป็นสื่อทางอ้อมให้คนรู้จักประเทศไทยเป็นพันล้านคน จากการจัด MotoGP ที่บุรีรัมย์

 

เนวินกล่าวว่า “แต่มาจนถึงตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนจากรัฐบาลเลย สัญญาเหลือแค่ปีหน้าปีเดียว แต่ยังไม่มีท่าทีว่าจะเอายังไงกับการแข่งขัน MotoGP ที่ประสบความสำเร็จ สร้างรายได้เป็นรูปธรรมมาแล้ว แต่ในขณะเดียวกันรัฐบาลพยายามจะไปเสนอจัดฟอร์มูลาวัน (F1) ซึ่งจะจัดที่ไหน จัดอย่างไร ใช้เงินเท่าไหร่ มีตัวเลขที่จะนำไปสู่การสร้างรายได้จริงหรือไม่” 

 

“MotoGP เป็นรถสองล้อ ทุกคนสัมผัสได้ สามารถเป็นเจ้าของได้ ใกล้ชิดได้ ซึมซับได้ แต่เอฟวันมันเหมือนสุนัขมองเครื่องบิน ดูได้ครั้งเดียวก็พอแล้ว”

 

“แต่ MotoGP ที่ทำกันมามันประสบความสำเร็จ มีความยั่งยืนแล้ว แต่จะปล่อยให้หมดสัญญา ซึ่งดอร์น่าสปอร์ตส์ก็มาถามทางบุรีรัมย์ว่าจะเอายังไง ผมก็ตอบไม่ได้เพราะผมไม่ใช่รัฐบาล เป็นแค่คนบุรีรัมย์ที่พร้อมรองรับและให้การสนับสนุน ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวและจัดอีเวนต์ที่ดีที่สุดในโลกให้กับประเทศนี้ สร้างรายได้ให้กับคนไทยและประเทศไทย” 

 

นายกฯ ว่ายังไง?

 

ในช่วงเช้าวันนี้ (3 มีนาคม) หลังจากปล่อยให้ประเด็นนี้เป็นเรื่องร้อนมาตลอดคืน และแฟนๆ มอเตอร์สปอร์ต ก็ต่างอยากรู้ทิศทางและโอกาสที่จะเกิดขึ้น 

 

ล่าสุด นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีการต่อสัญญา MotoGP 2026 ที่อาจจะเป็นปีสุดท้ายของประเทศไทย หากไม่มีการดำเนินการต่อสัญญา โดยได้สั่งการไปยังกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้ดำเนินการศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม ซึ่งเรื่องดังกล่าวยังต้องมีการพูดคุยกันอีกทีหนึ่ง และดูในเรื่องของตัวเลขว่าประเทศไทยจะได้รับผลประโยชน์อย่างไร

 

โดยนายกฯ ให้เหตุผลว่า ทุกโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชน โดยเฉพาะประชาชนจำนวนมากที่จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จะต้องมีการดำเนินการต่ออย่างแน่นอน


นอกจากนี้ที่ยังมีการอธิบายในเรื่องนี้มีการมองว่า การต่อสัญญา MotoGP เป็นเรื่องทางการเมือง เพราะสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เป็นของ เนวิน ชิดชอบ ซึ่งเป็นขั้วภูมิใจไทย ด้วยว่า เรื่องของรายได้ ถ้าหากมีเม็ดเงินไหลเข้า ก็เข้าในส่วนของจังหวัด เข้าประเทศ ถึงแม้ใครจะเป็นเจ้าของ ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามประเทศได้อะไรบ้างในส่วนนี้คือสิ่งที่ต้องนำมาพิจารณา ซึ่งในเรื่องการดำเนินการบางครั้งเอกชนกับภาครัฐจะต้องดำเนินการควบคู่กันไป อย่างไรก็ตามจะต้องมีการพิจารณาดูในเรื่องของรายละเอียด และความสมเหตุสมผลกันอีกครั้ง


ในความเป็นจริงที่เกิดขึ้น

 

ปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อมองจากภาพกว้าง ก็เป็นเรื่องของงบประมาณที่ไทยต้องเลือกใช้อย่างดี เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ แน่นอนว่า ส่วนหนึ่งอาจจะมีเรื่องของการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยจริงๆ

 

แต่หากมองเฉพาะในเชิงของกีฬา และการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตระดับโลกนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ชาติซึ่งเป็นเจ้าภาพ MotoGP จะได้จัดเรซในศึก F1 ด้วย

 

โดยปัจจุบันชาติที่ได้จัดทั้ง MotoGP และ F1 พร้อมกัน 2 รายการ (หรือมากกว่านั้น) ใน 1 ปีมีถึง 10 ชาติ ได้แก่ ออสเตรเลีย, ญี่ปุ่น, สหรัฐอเมริกา, สเปน, อิตาลี, ออสเตรีย, สหราชอาณาจักร, ฮังการี, เนเธอร์แลนด์ และกาตาร์

 

หากจะพูดตามตรงก็คือ หลายชาติในนี้ ล้วนแต่เป็นชาติใหญ่ในโลกและในยุโรป แม้บางชาติ เศรษฐกิจจะไม่ได้ดีมาก อย่าง อิตาลี หรือ สเปน แต่การเป็นเจ้าภาพก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาขัดสน เพราะส่วนใหญ่การจัดการแข่งขัน จะเป็นงบประมาณของสนามและภาคเอกชนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

 

ขณะที่ประเทศอย่างกาตาร์ ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวในลิสต์นี้ที่อยู่ในเอเชีย ก็นับเป็นกรณีพิเศษ เพราะพวกเขาเป็นประเทศในตะวันออกกลางที่มีอำนาจเงินสูงมาก และการจัดการแข่งขันโดยมีการสนับสนุนเม็ดเงินจากรัฐบาล ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาต้องคิดเยอะขนาดนั้น

 

ถ้าจะตัดภาพมาให้ใกล้เคียงประเทศไทยมากที่สุด เห็นจะต้องยกภาพของ เซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศมาเลเซีย ที่เคยจัดทั้ง F1 และ MotoGP พร้อมกันมาแล้ว 

 

นั่นคือตัวอย่างของการที่ F1 และ MotoGP จัดขึ้นพร้อมกันได้ หากรัฐฯ ให้การสนับสนุน แต่ต้องอย่าลืมว่า ปัจจุบัน เซปัง ก็ต้องปล่อยมือจาก F1 ตั้งแต่จบการแข่งขันในปี 2017 เพราะเรื่องของงบประมาณเช่นกัน

 

ดังนั้น การจัดการแข่งขันไม่ว่าจะรายการใดๆ ล้วนแต่เกิดขึ้นได้โดยมีปัจจัยสำคัญคือตัวเงินเป็นหลัก และฝั่งที่นำการแข่งขันเข้ามา ต้องประเมินถึงรายได้ และโอกาสที่จะได้รับว่าคุ้มค่า และ เหมาะสมหรือไม่

 

หลังจากนี้ไม่ว่าจะต่อสัญญา MotoGP ก็ดี หรือจะจัด F1 ที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรกก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจคือ ไม่ใช่อะไรจะเกิดขึ้นอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องคิดด้วยว่า คนไทยจะได้อะไรจากสิ่งนี้ด้วย

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising