ต้อนรับเช้าวันใหม่กับความเคลื่อนไหวสำคัญในโลกเศรษฐกิจ การเงิน และการลงทุน ประจำวันที่ 23 พฤศจิกายน ใน THE STANDARD WEALTH Morning Brief
Pfizer และ BioNTech เตรียมยื่นขออนุมัติวัคซีนกรณีฉุกเฉิน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาปรับตัวลดลงอีกครั้งหลังจากที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อยในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ประเด็นข่าวด้านบวกเกี่ยวกับการกลับมาเจรจางบกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการคลังรอบใหม่ของสภาคองเกรส ที่ช่วยให้ตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในวันพฤหัสบดี ไม่สามารถคงโมเมนตัมในตลาดวันศุกร์ได้ ความกังวลต่อการแพร่ระบาดระลอกใหม่เข้ามามีอิทธิพลในตลาดมากกว่า จึงส่งผลให้ดัชนีหลักทั้ง 3 ปรับตัวลดลงกันทั้งหมด โดยเฉพาะดัชนี Dow Jones ที่ปรับตัวลดลงไปกว่า 200 จุด แต่หุ้นเทคโนโลยีที่ได้รับประโยชน์จากนโยบาย Social Distancing ปรับตัวเพิ่มขึ้นกันได้ดี
ด้านความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ
- มีการคาดการณ์กันว่าตู้แช่แข็งสำหรับเก็บรักษาวัคซีนของบริษัท Pfizer และ Moderna จะมีราคาสูงถึง 20,000 ดอลลาร์ หรือกว่า 600,000 บาท และทางผู้ผลิตจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 สัปดาห์ในการผลิตสินค้าล็อตแรกด้วย
- Pfizer และ BioNTech เตรียมยื่นขออนุมัติวัคซีนเป็นกรณีฉุกเฉินจากทาง FDA สหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาราว 2-3 สัปดาห์ และถ้าทาง FDA อนุมัติ วัคซีนของบริษัทจะสามารถกระจายได้ภายในเดือนธันวาคมนี้เลย
‘จีน’ เผชิญแรงกดดันจากหุ้นกู้ที่ผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้น
ดัชนีรวมหุ้นขนาดใหญ่ของตลาดหุ้นจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ และเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นวันที่สองติดต่อกัน ปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวเพิ่มขึ้น คือ 1. ความคาดหวังในการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานของบริษัทจีน 2. การควบคุมการแพร่ระบาดที่อยู่ในเกณฑ์ดีมาก โดยมีตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวันต่ำกว่า 20 รายมาอย่างต่อเนื่อง
แต่ตลาดหุ้นจีนก็ต้องเจอกับปัจจัยกดดันเช่นเดียวกัน จาก 1. ปริมาณหุ้นกู้ที่ผิดนัดชำระหนี้มีมากขึ้น 2. ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ยังคงตึงเครียด หุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและสุราปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ หุ้นในกลุ่มผู้ผลิตสินค้าเทคโนโลยีและเฮลธ์แคร์ปรับตัวผสมผสาน กลุ่มผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและประกันชีวิตปรับตัวลดลง นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิราว 370 ล้านดอลลาร์
‘ฮ่องกง’ ส่อเผชิญการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกที่ 4
ดัชนี Hang Seng TECH Index ของตลาดหุ้นฮ่องกงปรับเพิ่มขึ้น 94.15 จุด หรือ 1.19% ดัชนีกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดีเนื่องจากความกังวลในเรื่องการแพร่ระบาด หุ้นขนาดใหญ่ที่สุดในดัชนี 3 อันดับแรกปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดีกันทั้งหมด
ด้านความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ เลขาธิการสาธารณสุขของฮ่องกงเผยว่า ฮ่องกงน่าจะเข้าสู่การแพร่ระบาดระลอกที่ 4 โดยผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินหายใจที่ Chinese University of Hong Kong บอกว่าการแพร่ระบาดในฮ่องกงตอนนี้ไม่สามารถหาที่มาที่ไปได้ถึง 20% แสดงให้เห็นว่าการแพร่ระบาดอยู่ในวงกว้างแล้ว
Nissan Motor ห่วง Brexit ทำธุรกิจยากขึ้น
ตลาดหุ้นญี่ปุ่น Nikkei ลดลง 106.97 จุด หรือ 0.42% ดัชนีของตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวลดลงเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน ปัจจัยหลักที่ทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงมาจาก 1. ความกังวลในเรื่องการแพร่ระบาด โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ทางผู้บริหารกรุงโตเกียวได้ประกาศเตือนภัยขั้นสูงสุดในเรื่องการแพร่ระบาด ส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะดำเนินนโยบาย Social Distancing ที่เข้มข้นขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหดตัวลง 2. ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของญี่ปุ่นมีแนวโน้มหดตัวลง ทั้งตัวเลขเงินเฟ้อและตัวเลข PMI ของภาคการผลิต 3. ค่าเงินเยนยังแข็งค่าต่อเนื่องมาที่ระดับ 103.80 เยน ด้วยปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลให้ตลาดปรับตัวลดลง หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีและยานยนต์ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ กลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวปรับตัวลดลง
ด้านความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ 1. Nissan Motor แห่งสหราชอาณาจักรได้ออกมาเผยว่า ไม่ว่า Brexit จะออกมาในรูปแบบใดก็ตาม มันจะทำให้การทำธุรกิจของบริษัทในยุโรปต้องลำบากขึ้นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะปัจจัยเรื่องภาษีที่จะทำให้รถยนต์ Nissan มีราคาแพงขึ้น และความล่าช้าของชิ้นส่วนที่จะนำมาประกอบในโรงงานในเมืองซันเดอร์แลนด์ก็จะมากขึ้น เนื่องจากจะต้องเจอกับระบบศุลกากรที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับบริษัทรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นอย่าง Toyota ด้วยเช่นกัน 2. ประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานทั่วประเทศ หรือ National Core CPI ประจำเดือนตุลาคม หดตัว -0.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) เท่ากับที่ตลาดคาดไว้ 3. ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต หรือ Manufacturing PMI ประจำเดือนพฤศจิกายน ยังอยู่ในโซนหดตัวที่ 48.3 จุด หดตัวมากกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 49.4 จุด
‘ราคาทองคำ’ ขยับขึ้น หลังสหรัฐฯ กลับมาคุยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย หลังสภาคองเกรสจะกลับมาคุยเรื่องนโยบายกระตุ้นอีกครั้ง โดยราคาทองคำมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ปรับตัวลดลงเป็นส่วนใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา โดยมาปิดที่ 1,871 ดอลลาร์ +0.26% หลังสภาคองเกรสจะกลับมาเจรจาเรื่องงบกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการคลังรอบใหม่กันอีกครั้ง
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า