วันนี้ (28 มิถุนายน 2564) ที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค, นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ประชุมทางไกลเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์โควิด กับผู้ตรวจราชการ/สาธารณสุขนิเทศเขตสุขภาพที่ 1-13, นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด, ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป
นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า ในภาวะวิกฤตเช่นนี้จำเป็นต้องทำความเข้าใจกับผู้บริหารส่วนภูมิภาคให้มากขึ้น เช่น ปัญหาเรื่องยา เรื่องเตียงไม่พอ เกิดในบางพื้นที่ที่พบผู้ป่วยจำนวนมาก ไม่ใช่ภาพรวมทั้งหมด ระบบสาธารณสุขไม่ได้ล่มสลาย ขอให้ทุกจังหวัดให้ความสำคัญกับการควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด เน้นความสามัคคี ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ด้วยการนำมาตรการ Bubble and Seal, ยุทธการขนมครกไปใช้ ขอให้ปรับใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมาหลายจังหวัดสามารถบริหารจัดการป้องกันควบคุมโรคในแต่ละพื้นที่ได้ดีมาก
อย่างไรก็ตาม ขอให้ส่วนภูมิภาคช่วยแบ่งเบาภาระของพื้นที่ กทม. ซึ่งเป็นเมืองหลวง มีหน่วยงานราชการ การศึกษา ส่งออก ท่าเรือ แรงงานก่อสร้างจำนวนมาก ที่สำคัญทุกจังหวัดต้องสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชนว่าเรื่องเตียง ยา วัคซีน และทรัพยากรอื่นๆ ที่ใช้ดูแลผู้ป่วยโควิด รัฐบาลพร้อมจัดหาให้เพียงพอต่อการดูแลประชาชน
นพ.เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า หลังมีมาตรการ ศบค. ให้ปิดแคมป์ก่อสร้าง ทำให้มีผู้เดินทางกลับบ้าน จึงจำเป็นต้องปรับการบริหารจัดการในการควบคุมป้องกันโรค ให้ผู้ตรวจราชการทุกเขตสุขภาพทำหน้าที่เหมือนปลัดกระทรวง เปิด EOC ทุกวัน และให้ดำเนินการใน 3 ด้าน คือ
ด้านบุคลากร ขอกำลังสนับสนุนจากส่วนภูมิภาคมาช่วยดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยสีเหลืองและสีแดงใน กทม. ซึ่งต้องใช้บุคลากรจำนวนมาก โดยขณะนี้โรงพยาบาลบุษราคัมเปิดแล้ว 2,000 เตียง ดูแลผู้ป่วยอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง (สีเหลือง) จะเปิดเฟส 3 เพิ่มอีกพันกว่าเตียง ตามนโยบายรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งเพิ่มเตียงสีแดง ใน กทม. ที่มีเตียงของรัฐ 400 เตียง เอกชน 1,000 เตียง, จะเปิด Cohort ICU ที่โรงพยาบาลสนาม มทบ.11 จำนวน 58 เตียง และเตียงสีเหลืองอีก 128 เตียง ในวันที่ 2 กรกฎาคม ได้รับการสนับสนุนกำลังคนจากเครือโรงพยาบาลธนบุรี รวมทั้งโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ, รามาธิบดี, วชิรพยาบาล 3 แห่ง รวมอีก 50 เตียง และโรงพยาบาลสนามพลังแผ่นดินอีก 25 เตียง รวมสัปดาห์หน้าจะมีเตียงสีแดงเพิ่มอีก 133 เตียง พร้อมทั้งขอให้แพทย์เฉพาะทาง แพทย์จบใหม่ และพยาบาล มาช่วย 1 เดือน และให้สถาบันพระบรมราชชนกจัดอบรมเรื่องการดูแลผู้ป่วยในภาวะวิกฤต
ด้านที่ 2 ให้ผู้ตรวจราชการทุกเขตรายงานจำนวนเตียงทั้งสีเขียว เหลือง และแดง, โรงพยาบาลในเขตสุขภาพทั้งรัฐและเอกชน และสต๊อกยา เวชภัณฑ์ ชุด PPE เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรภาพรวมทั้งเขตสุขภาพ และด้านที่ 3 การป้องกันควบคุมโรค ใช้กลยุทธ์ต่างๆ ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น Bubble and Seal, ยุทธการขนมครก, ส่ง อสม. ติดตาม สำรวจผู้เดินทางเข้ามาในหมู่บ้าน/ชุมชน โดยเฉพาะผู้ที่มาจากพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด และพื้นที่ควบคุมสูงสุด และให้เร่งฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรคเรื้อรังให้เสร็จภายในเดือนสิงหาคมนี้
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล