×

MONOMAX และ Premier League กับโอกาสของการถ่ายทอดสดกีฬาในโลกสตรีมมิ่ง

19.12.2024
  • LOADING...
MONOMAX Premier League

ปี 2025 จะเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างกับวงการการถ่ายทอดสดกีฬา โดยเฉพาะสำหรับประเทศไทย เราจะได้เห็นพรีเมียร์ลีกย้ายบ้านใหม่ไปสู่กลุ่มบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS หลังคว้าสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกเป็นระยะเวลา 6 ปี คิดเป็นมูลค่าทั้งหมด 559,980,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 19,167,723,414 บาท 

 

THE STANDARD SPORT มีโอกาสพูดคุยกับ ดร.โสรัชย์ อัศวะประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (รักษาการ) บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) มาแล้วหลายครั้ง และได้รับคำยืนยันว่าพรีเมียร์ลีกจะถ่ายทอดสดทาง MONOMAX แอปพลิเคชันสตรีมมิ่งของพวกเขาเป็นหลัก โดยจะมีราคาอยู่ที่ไม่เกิน 400 บาทต่อเดือน

 

นี่จึงเป็นก้าวสำคัญอีกหนึ่งก้าวที่แสดงให้เห็นว่าวงการสื่อบันเทิงและสตรีมมิ่งต่างๆ เริ่มเข้าหาธุรกิจกีฬากันอย่างมีนัยสำคัญ เพราะแม้กระทั่งสตรีมมิ่งอันดับต้นๆ ของโลกอย่าง Netflix ก็ยังมีการถ่ายทอดสดกีฬาไปแล้วหลายครั้งในปี 2024 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป

 

โดยเหตุการณ์ทำนองนี้จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญถึงการปรับตัวของสตรีมมิ่งทั่วโลกและวงการกีฬาที่จะมีแนวโน้มพึ่งพากันมากขึ้น

 

พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง

 

MONOMAX Premier League

 

“ภายในปี 2025 จำนวนผู้ชมในสหรัฐฯ ที่รับชมกีฬาสดผ่านการสตรีมมิ่งอย่างน้อยเดือนละครั้งจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 90 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 57 ล้านคนในปี 2021”

 

นั่นเป็นข้อมูลจาก PwC บริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจชั้นนำระดับโลก เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวถึงแนวโน้มการรับชมกีฬาผ่านช่องทางสตรีมมิ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

 

ปัจจุบันผู้คนเสพติดการรับชมกีฬาผ่านช่องทางการสตรีมมิ่งบนอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ด้วยปัจจัยด้านความสะดวก รวดเร็ว และธรรมชาติของกีฬา ทำให้ผู้คนต้องการรับชมมันแบบสดๆ ซึ่งแตกต่างจากซีรีส์หรือภาพยนตร์ที่สามารถ ‘รอ’ ที่จะรับชม ‘เมื่อพร้อม’ ได้

 

การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียนในรายการ ASEAN Mitsubishi Electric Cup 2024 เมื่อวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา ที่ทาง BG SPORTS ถ่ายทอดสดการแข่งขันผ่าน YouTube ก็เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดี เพราะในเกมดังกล่าวมีผู้รับชมแบบสดๆ พร้อมกันร่วม 6 แสนคน 

 

นั่นทำให้สตรีมมิ่งระดับโลกมากมายไม่ว่าจะเป็น Prime Video, HBO Max, Peacock หรือ Disney+ Hotstar รวมไปถึงเจ้าตลาดอย่าง Netflix ต่างก็ต้องการมี ‘กีฬา’ เป็นของตัวเอง และพวกเขาหลายเจ้าก็เริ่มทำไปแล้ว

 

ยกตัวอย่างเช่น Netflix ในปีที่ผ่านมา พวกเขามีการถ่ายทอดสดกีฬาต่างๆ ไม่น้อย ไล่ตั้งแต่เทนนิสรายการพิเศษระหว่าง ราฟาเอล นาดาล กับ คาร์ลอส อัลคาราซ ที่มีชื่อว่า The Netflix Slam ต่อด้วยมวยคู่หยุดโลกระหว่าง เจค พอล กับ ไมค์ ไทสัน และศึก NFL คู่คริสต์มาสสเปเชียลอย่างเกมที่ บัลติมอร์ เรเวนส์ พบกับ ฮิวสตัน เท็กแซนส์

 

และหากมองไปถึงอนาคต พวกเขาก็มีโปรเจกต์ใหญ่อย่างการถ่ายทอดสด WWE ที่จะเริ่มต้นในเดือนมกราคม 2025 ด้วย

 

ขณะที่ Disney+ Hotstar เองก็เล็งที่จะเพิ่ม ESPN+ เข้ามาในแพลตฟอร์ม เพื่อขายพ่วงแพ็กเกจการ Subscriber ซึ่งจะทำให้ผู้ที่เป็นสมาชิกของพวกเขาสามารถรับชมกีฬาแบบสดๆ ได้หลายรายการ เช่น เทนนิสออสเตรเลียนโอเพน, อเมริกันฟุตบอล NFL และอเมริกันฟุตบอลมหาวิทยาลัยด้วย

 

เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นตัวอย่างของอุตสาหกรรมสตรีมมิ่งในปี 2025 และการดูกีฬาที่บังเอิญว่าในยุคนี้ทั้งสองอย่างเวียนมาบรรจบเป็นสิ่งเดียวกันไปแล้ว

 

กีฬาสด ยาแนวอุดรอยรั่วการ Unsubscribe

 

 

ปัญหาคลาสสิกที่สตรีมมิ่งแต่ละเจ้าต้องเจอไม่แตกต่างกันนั่นคือ การหายไปของผู้ชมหลังจากซีรีส์ที่พวกเขาติดตามจบซีซันลงไป

 

ตัวเลขเมื่อกลางปีที่ผ่านมาระบุว่า มีการยกเลิกการ Subscription HBO Max (ปัจจุบันคือ MAX) มากกว่า 50 ล้านบัญชี หลังจากที่ซีรีส์ House of the Dragon จบซีซัน 2 ลงไป

 

นั่นแสดงให้เห็นว่า ผู้ชมและลูกค้าทั่วไปเลือกที่จะสมัครสมาชิกสตรีมมิ่งต่างๆ ในเวลาที่มีซีรีส์ที่พวกเขาต้องการรับชม และยินดีที่จะยกเลิกเมื่อซีรีส์หรือรายการเหล่านั้นจบลงไป ซึ่งนั่นเป็นปัญหาใหญ่สำหรับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งมาตลอด

 

โดย เดวิด ซาสเลฟ ซีอีโอของ Warner Bros. กล่าวว่า “อัตราการยกเลิกสมาชิกคือตัวทำลายล้างในธุรกิจนี้ และเราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก”

 

นั่นเองที่ทำให้กีฬาเข้ามามีบทบาท เพราะมันสามารถอุดรอยรั่วตรงนี้ได้ดีกว่า เพราะหากมีการถ่ายทอดกีฬาที่มีระยะเวลาการแข่งขันยาวนานหลายเดือน แฟนๆ ก็ยินดีที่จะสมัครสมาชิกทิ้งไว้เพื่อชมมันอย่างต่อเนื่อง

 

นอกจากนี้เนื้อหาด้านกีฬายังเป็นคอนเทนต์ที่ทำให้ผู้ชมมีส่วนร่วมและจดจ่ออย่างต่อเนื่องมากกว่าเนื้อหาด้านบันเทิง ซึ่งจะสามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ มาสู่แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งได้อีกต่างหาก

 

เหตุผลที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ โดยปกติแล้วการแข่งขันกีฬา 1 แมตช์ (ราว 2 ชั่วโมง) จะมีระยะเวลายาวนานกว่าซีรีส์ 1 ตอน (ประมาณ 45-60 นาที) ซึ่งนั่นจะทำให้ระยะเวลาการรับชมโดยรวมบนแพลตฟอร์มเพิ่มขึ้น โดยนี่ยังไม่นับรายการก่อนเกม การวิเคราะห์หลังเกม และไฮไลต์ต่างๆ ด้วย

 

แถมเนื้อหาด้านกีฬา นอกจากจะทำให้เกิดการเติบโตของสมาชิกเพิ่มขึ้นแล้ว รายได้จากการโฆษณาของแพลตฟอร์มยังเพิ่มขึ้นอย่างยากที่จะปฏิเสธ เพราะธรรมชาติของกีฬาโดยทั่วไปจะไม่ได้เป็นเหมือนซีรีส์หรือภาพยนตร์ที่ต้องการความต่อเนื่อง แต่กีฬาจะมีช่วงเวลาพัก ซึ่งเป็นช่องทางทำรายได้อีกทางหนึ่งให้กับสตรีมมิ่งด้วย

 

ที่สำคัญที่สุดของการถ่ายทอดสดกีฬามักจะมีโฆษณาพ่วงมาในสัญญาณถ่ายทอดสดอยู่บ่อยครั้ง ทั้งแบรนด์บนเสื้อแข่ง รถแข่ง หรือแม้กระทั่ง Title Sponsor ของชื่อสนามกีฬา 

 

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้บรรดาสตรีมมิ่งต่างๆ ล้วนแล้วแต่อยากมีกีฬาเป็นของตัวเองทั้งสิ้น และที่ผ่านมา Netflix ก็พิสูจน์ไปแล้วในเบื้องต้นตลอด 1-2 ปีที่ผ่านมาว่าแผนนี้มัน ‘เวิร์ก’ และพวกเขากำลังทำมันให้ต่อเนื่องกว่าเดิม จากการดึง WWE เข้ามาถ่ายทอดในสตรีมมิ่งของพวกเขานั่นเอง

 

โจทย์ใหญ่ที่ไม่ง่ายของ MONOMAX

 

 

ข้ามมาดูที่ฝั่งไทยกับแผนการใหญ่ของ MONOMAX ที่ดึงเอาลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกมาอยู่ในมือได้สำเร็จ หลังลิขสิทธิ์อยู่ในมือของ True ตลอด 6 ปี

 

ดร.โสรัชย์ อัศวะประภา ยืนยันมาตลอดว่าเขาเป็นแฟนฟุตบอลและเข้าใจแฟนฟุตบอลเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงต้องการที่จะทำราคาสำหรับแพ็กเกจชมพรีเมียร์ลีก (และจะสามารถดูคอนเทนต์อื่นๆ ของ MONOMAX ได้ด้วย) ในราคาเดือนละไม่เกิน 400 บาท

 

แม้จะเป็นราคาที่ถือว่าถูก แต่ก็ต้องยอมรับว่านั่นไม่ใช่งานที่ง่ายสำหรับ MONOMAX ณ ตอนนี้เลย 

 

แม้ MONOMAX จะไม่ได้เป็นอะไรที่ใหม่สำหรับการถ่ายทอดกีฬา เพราะที่ผ่านมาพวกเขาก็เคยถือลิขสิทธิ์ทั้งมวยปล้ำ WWE และบาสเกตบอล NBA มาแล้ว แต่สำหรับพรีเมียร์ลีกนับเป็นเรื่อง ‘ใหญ่กว่ามาก’

 

การถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกไม่ได้จบแค่การถ่ายทอดสด พวกเขายังต้องมีสตูดิโอ ทีมพากย์ รายการต่างๆ ที่มีเนื้อหาสนับสนุนพรีเมียร์ลีกทั้งก่อนเกมและหลังเกม รวมไปถึงระบบการส่งสัญญาณทางสตรีมมิ่งที่พร้อม เพราะแค่อาการแอปล่มแค่ครั้งเดียว ก็จะกลายเป็นการสั่นคลอนต่อความเชื่อมั่นของแฟนๆ ได้เลย

 

นอกจากนี้ฐานแฟนๆ ของ MONOMAX ในปัจจุบันราว 1.5 ล้านราย โดยส่วนมากก็จะเป็นแฟนๆ สายบันเทิงที่จะดูภาพยนตร์และซีรีส์เป็นหลัก โดยเฉพาะซีรีส์จีนและเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นจุดเด่นของพวกเขามาตลอดตามสโลแกนที่ว่า ‘MONOMAX สุดยอดหนังดี ซีรีส์ดัง ระดับโลก’ แต่การจะก้าวเข้ามาถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกก็อาจทำให้ภาพลักษณ์ของพวกเขาเปลี่ยนไป

 

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ผู้ถือลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกต้องต่อสู้อย่างยากลำบากมาตลอดก็คือ เรื่องของช่องทางการรับชมที่ละเมิดลิขสิทธิ์ หรือลิงก์เถื่อน ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ยอดการสมัครสมาชิกที่ทาง MOMOMAX อยากให้แตะ 2-3 ล้านแอ็กเคานต์ไปไม่ถึงเป้า

 

แม้ทาง ดร.โสรัชย์ จะเชื่อมั่นว่าถ้าหาก MONOMAX ให้ราคาที่ดีและยุติธรรม จะช่วยให้มีผู้มาสนับสนุนได้ไม่น้อยก็ตาม แต่ก็น่าจะยังมีผู้คนบางส่วนที่ไม่สนใจในเรื่องนั้น และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเลือกที่จะดูพรีเมียร์ลีกแบบละเมิดลิขสิทธิ์ต่อไป

 

ทั้งหมดนี้เป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องรอดูว่า MONOMAX จะปรับตัวอย่างไรในการเข้ามาถ่ายทอดพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2025/26 ที่จะมาถึงนี้ ซึ่งเวลาก็นับถอยหลังลงไปเหลือเพียงไม่ถึงปีแล้ว

 

เส้นทางที่งดงามกว่าบทภาพยนตร์

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะยังมีคำถามอีกมากมายสำหรับ MONOMAX ที่ต้องการจะปรับตัวจากสตรีมมิ่งซีรีส์และภาพยนตร์เข้ามาสู่สตรีมมิ่งที่มีคอนเทนต์กีฬาเช่นเดียวกับสตรีมมิ่งระดับโลกอีกหลายเจ้า

 

แต่การเดินหน้าของพวกเขาในการเข้ามาจับลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก ก็แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการปรับตัวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่และความเปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มของแฟนกีฬา ได้อย่างชัดเจน

 

ในฐานะที่เป็นคนกีฬา เราจึงบอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า การเข้ามาของ MONOMAX สู่ตลาดสตรีมมิ่งกีฬาในครั้งนี้ เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับแฟนๆ กีฬา ที่พวกเราจะได้ดูพรีเมียร์ลีกกันต่อไปอีกอย่างน้อย 6 ปี 

 

และจากสิ่งที่พวกเขาพยายามทำอยู่ ถ้า MONOMAX ทำสำเร็จได้ในราคาไม่เกิน 400 บาทอย่างที่พวกเขายืนยันไว้ พร้อมถ่ายทอดสดผ่านความชัดระดับ Full HD ได้ ก็อาจพูดคำพูดคลาสสิกของนักพากย์กีฬาที่กล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญในการแข่งขันกีฬาบางครั้งได้ว่า

 

“คุณไม่สามารถเขียนบทที่ดีกว่านี้ในภาพยนตร์ได้อีกแล้ว”

 

อ้างอิง:

 

 
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X