แม้ว่าตลาดหุ้นหลายแห่งจะไต่ขึ้นสู่ระดับสูงสุดตลอดกาล (All-Time High) อย่างต่อเนื่อง แต่การออมเงินสดก็ยังคงเป็นวิธีการเก็บเงินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในรอบหลายปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่นักลงทุนรุ่นใหม่ แต่รู้หรือไม่ว่าการถือเงินสดมากเกินไปอาจทำให้คนเราพลาดโอกาสมากกว่าที่คิด
การถือเงินสด (บ้าง) เป็นเรื่องดี
ในโลกของการลงทุน เงินสดมีข้อดีมากกว่าหุ้นและพันธบัตรอยู่หลายอย่าง ประการแรกคือ เรื่องสภาพคล่อง เราสามารถใช้เงินสดเพื่อซื้อสินค้าและบริการได้อย่างสะดวกและง่ายดายโดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนก่อนใช้จ่าย ประการต่อมาคือ เงินสดจะยังมีปริมาณเท่าเดิมถ้าเรายังคงถือครองไว้ หมายความว่า พันธบัตร 100 บาท จะยังคงเป็นพันธบัตร 100 บาทเท่าเดิม
อย่างไรก็ตาม มีบางเหตุผลที่การถือเงินสดของคุณจะมีมูลค่าลดลงนั่นคืออัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจะค่อยๆ กัดเซาะอำนาจการใช้จ่ายของเงินของคุณ ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนจึงควรนำเงินบางส่วนเก็บไว้ในสินทรัพย์ที่สามารถชดเชยอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นได้
Amy Arnott นักยุทธศาสตร์ด้านพอร์ตโฟลิโอของ Morningstar Research Services กล่าวว่า “ผู้คนจำนวนมากถูกล่อลวงให้พกเงินสด และพวกเขาเหล่านั้นมีค่าเสียโอกาสค่อนข้างมากในแง่ของการเติบโตในระยะยาว แทนที่จะเก็บเงินอย่างเดียว นักลงทุนควรนึกถึงการใช้เงินสดอย่างเหมาะสม สำหรับเงินทุนฉุกเฉินและเป้าหมายการใช้จ่ายระยะสั้น”
การมีเงินสดมากเกินไปอาจทำให้พลาดโอกาสทำกำไรอย่างมหาศาล
แม้ว่าการถือเงินสดจะไม่ได้ทำให้นักลงทุนสูญเสียเงิน แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนกำลังเตือนว่า การรู้สึกสบายใจเกินไปกับผลตอบแทนที่ปลอดภัยมากเป็นพิเศษ อาจทำให้พลาดโอกาสได้รับผลตอบแทนจากตลาดที่มากกว่า
Callie Cox หัวหน้านักยุทธศาสตร์การตลาดของ Ritholtz Wealth Management มองว่า ผู้คนหมกมุ่นอยู่กับเงินสดมากเกินไป และนักลงทุนอายุน้อย ซึ่งมีระยะเวลาการลงทุนที่ยาว และมีความสามารถในการรับความเสี่ยงที่สูง กำลังจัดสรรไว้ในรูปเงินสดเป็นส่วนใหญ่ในเวลานี้
ผลการวิจัยล่าสุดจาก Bank of America พบว่า ขณะนี้นักลงทุนอายุน้อยที่มีความมั่งคั่งอายุ 21-43 ปี มากกว่า 55% เลือกถือเงินสดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เทียบกับบุคคลที่มีอายุ 44 ปีขึ้นไป อยู่ที่ 46% นอกจากนี้ แพลตฟอร์มการซื้อขาย eToro เปิดเผยเมื่อต้นปีนี้ว่า นักลงทุนอายุน้อยมีแนวโน้มเพิ่มสินทรัพย์เงินสดมากกว่ารุ่นพ่อแม่ถึง 2 เท่า
บัญชีออมทรัพย์ของธนาคารในประเทศไทยให้ผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 0.25-0.35% ส่วนอัตราดอกเบี้ยฝากประจำ 12 เดือน ให้ผลตอบแทนที่ 1.55-1.95% ในขณะเดียวกัน บัญชีเงินฝากดิจิทัลอาจให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า โดยบางแห่งให้ผลตอบแทนสูงถึง 5.55% อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 5% อาจต่ำกว่าผลกำไรที่นักลงทุนจะได้รับจากการลงทุนในหุ้น
การจัดสรรพอร์ตการลงทุนเชิงรุกในหุ้นอาจทำให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 7% แม้ว่าในบางปีจะสูงกว่าและต่ำกว่านี้บ้าง หากดัชนี S&P 500 ไต่ขึ้นไปที่ 5,800 ภายในสิ้นปีนี้ อาจทำให้ผลตอบแทนรวมในปีนี้มากกว่า 20% เลยทีเดียว หลังจากที่ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 24% เมื่อปี 2023 นั่นหมายความว่าอัตราผลตอบแทนของ 2 ปี นับตั้งแต่ปี 2023-2024 อยู่ที่ประมาณ 50% ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายสำหรับนักลงทุนที่ถือเงินสดและออมเงินสดที่พลาดโอกาสทำผลกำไรมหาศาลเหล่านั้น เนื่องจากพวกเขาต้องใช้เวลา 10 ปีกว่าจะได้ผลลัพธ์เดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่น่าประทับใจเสมอไป บริษัทวิจัย BCA Research คาดการณ์ว่าดัชนี S&P 500 อาจร่วงลงมากกว่า 30% ในปลายปีนี้ หากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย การมีเงินสดยังคงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มักจะแนะนำว่า นักลงทุนทุกคนควรมีเงินสดไว้ เพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 3-6 เดือน ในกรณีฉุกเฉิน
‘Cash is King’ อาจไม่จริงเสมอไป
การถือเงินสดไม่ใช่กลยุทธ์การสร้างความมั่งคั่งและคงมูลค่าของเงินไว้ตามกาลเวลาอย่างที่หลายคนเข้าใจ จากรายงานของ The Wall Street Journal นับตั้งแต่ปี 1928 เป็นต้นมา เงินสดทำผลตอบแทนได้ดีกว่าทั้งตลาดหุ้นและพันธบัตรในรอบปีปฏิทินเพียง 12 ครั้งเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ อีก 87% ที่เหลือของช่วงเวลาที่ผ่านมา เงินสดไม่ได้เป็น ‘ราชา’ ดังที่หลายคนเชื่อ
หากออมเงิน 1 ล้านบาท ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีต่ำกว่า 1% พอร์ตการลงทุนของคุณจะได้ผลตอบแทนเพียง 92,000 บาทในช่วงหนึ่งทศวรรษ อีกตัวอย่างหนึ่งคือ หากเราย้อนกลับไปถึงเดือนพฤษภาคม 1997 ซึ่งรวมช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตดอทคอม วิกฤตซับไพรม์ และวิกฤตโควิด ตลาดหุ้นทำผลตอบแทนโดยเฉลี่ยประมาณ 8.3% ต่อปี เทียบกับเงินสดที่ให้ผลตอบแทน 1.9%
ฉะนั้นแล้ว คำถามสำคัญคือ เราควรจะถือเงินสดไว้มากน้อยเพียงใด หนึ่งในคำแนะนำที่น่าสนใจจากผู้เชี่ยวชาญคือ สำหรับเงินที่จำเป็นจะต้องใช้จ่ายในช่วง 1-2 ปี หรือแม้แต่ 3-5 ปี เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลที่จะเก็บเงินไว้เป็นเงินสด หรือเก็บไว้ในที่ที่เราสามารถเข้าถึงได้ทันทีเมื่อต้องการ
แต่สำหรับเงินที่เราไม่มีแผนจะใช้ในช่วง 5 ปีข้างหน้า เราควรพิจารณานำเงินเหล่านี้ไปลงทุนในหุ้นหรือในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น แต่ก็แลกมาด้วยโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนมากขึ้นเช่นกัน
อ้างอิง:
- https://www.cnbc.com/2024/07/02/holding-too-much-cash-can-be-a-mistake-experts-say.html
- https://www.cnbc.com/2023/09/22/money-expert-dont-load-up-on-cash.html
- https://www.forbes.com/sites/kristinmckenna/2023/05/19/hold-cash-or-invest-history-shows-cash-isnt-king-for-long/