หลังชัยชนะที่สวยหรูในศึกวันแดงเดือดที่โอลด์แทรฟฟอร์ด แฟนลิเวอร์พูลทั่วโลกเจอกับข่าวไม่คาดฝันทันที เมื่อ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ซูเปอร์สตาร์หมายเลขหนึ่งของทีม ที่เพิ่งทำ 1 ประตู กับ 2 แอสซิสต์ ในชัยชนะ 3-0 เหนือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประกาศข่าวช็อกเกี่ยวกับอนาคตของตัวเอง ชนิดไม่รอให้มีกระแสข่าวลือใดๆ
“นี่คือฤดูกาลสุดท้ายของผมกับลิเวอร์พูล ไม่มีใครในสโมสรที่ติดต่อผมเกี่ยวกับเรื่องสัญญาฉบับใหม่เลย”
การออกมาประกาศข่าวแบบนี้ของซาลาห์มีนัยอย่างไร และทำไมลิเวอร์พูลถึงไม่ยอมเจรจาต่อสัญญากับนักเตะหมายเลขหนึ่งของทีม
ย้อนกลับไปในเกมที่โรงละครแห่งความฝัน ซาลาห์เป็นผู้เล่นที่เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดทั้งเกม โดยมีส่วนร่วมกับประตูทั้ง 3 โดยผ่านบอลให้ หลุยส์ ดิอาซ ทำ 2 ประตูในช่วงครึ่งเวลาแรก ก่อนที่จะยิงประตูเองได้ในช่วงครึ่งหลัง
นั่นทำให้ผลงานของกองหน้าทีมชาติอียิปต์ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2023/24 ทำไปแล้ว 3 ประตูกับอีก 3 แอสซิสต์ด้วยกัน จากการลงสนามแค่ 3 นัดแรกของฤดูกาล
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นฟอร์มการเล่นที่สุดยอด และเป็นการตอกย้ำถึงความมหัศจรรย์ของซาลาห์ ที่เป็นหนึ่งในผู้เล่นตัวรุกที่มีผลงานสม่ำเสมอที่สุดในประวัติศาสตร์ ไม่ใช่เฉพาะกับลิเวอร์พูล แต่รวมถึงในพรีเมียร์ลีกอีกด้วย
แต่ถึงจะสุดยอดขนาดนี้ ซาลาห์กลับต้องเผชิญกับเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่เกี่ยวกับอนาคตของตัวเอง
สตาร์วัย 32 ปี เหลือสัญญาในแอนฟิลด์แค่สิ้นสุดฤดูกาลนี้ โดยที่ยังไม่มีความชัดเจนใดๆ
เมื่อผู้สื่อข่าวจ่อไมค์ถามถึงเรื่องนี้ หลังระเบิดฟอร์มการเล่นสุดยอดกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซาลาห์จึงได้ระเบิดเรื่องนี้ออกมาเป็นโกโก้ครั้นช์
Mo Stay (No More?)
ซาลาห์ให้สัมภาษณ์กับ Sky Sports หลังจบเกมกับแมนฯ ยูไนเต็ด โดยกล่าวในช่วงแรกถึงการเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมของตัวเขาภายใต้นายใหญ่คนใหม่อย่าง อาร์เน สลอต “ผมมีช่วงฤดูร้อนที่ดี และมีเวลาให้กับตัวเองยาวนาน โดยพยายามเพื่อที่จะคิดในแง่บวก เพราะทุกคนก็รู้ว่านี่คือปีสุดท้ายของผมกับสโมสร”
สิ่งที่ซูเปอร์สตาร์วัย 32 ปีบอกไม่ได้เกินไปจากความจริง เพราะปีนี้คือปีสุดท้ายในสัญญาฉบับปัจจุบันของซาลาห์ หลังจากที่ต่อสัญญาฉบับล่าสุดในฤดูร้อน ปี 2022 ด้วยการประกาศข่าวแบบสุดพิเศษ ‘Mo Stay’ ที่จะอยู่กับทีมจนถึงปี 2025 หลังจากย้ายมาจากโรมาในปี 2017
สัญญาฉบับดังกล่าวทำให้ซาลาห์ได้รับค่าตอบแทนที่ 3.5 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งถือว่ามากที่สุดในบรรดานักเตะของลิเวอร์พูล และถือว่าใกล้เคียงกับกลุ่มซูเปอร์สตาร์ของพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดาวเตะชาวอียิปต์พอใจ
แต่หลังจากนั้นซาลาห์ตกเป็นข่าวการย้ายทีมเป็นระยะ โดยเฉพาะข่าวลือการย้ายไปซาอุดีโปรลีก ซึ่งเมื่อฤดูกาลที่แล้ว อัล ฮิลาล สโมสรดังของซาอุดีอาระเบีย พยายามเกลี้ยกล่อมลิเวอร์พูลด้วยการยื่นข้อเสนอ 150 ล้านปอนด์ให้ เพียงแต่ลิเวอร์พูลซึ่งยังอยู่ในการคุมทีมของ เจอร์เกน คล็อปป์ ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวไป
อย่างไรก็ดี กลับไม่มีการเจรจาเรื่องสัญญาใหม่ของซาลาห์ ซึ่งรวมถึง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค กัปตันทีม และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ รองกัปตันทีมสายเลือดแท้ของสโมสรด้วย
ไม่มีดีล เพราะไม่มีคนดีล
ปัญหาเรื่องการเจรจาต่อสัญญาใหม่ของผู้เล่นกลุ่ม ‘เสาหลัก’ ของสโมสรอย่าง ซาลาห์, ฟาน ไดจ์ค และอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เกิดจากหลายองค์ประกอบด้วยกัน
แต่เรื่องหลักคือ การที่สโมสรเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
ทุกอย่างเริ่มจากการตัดสินใจลาออกล่วงหน้าของ จูเลียน วอร์ด ทายาทในตำแหน่งผู้อำนวยการสโมสรของลิเวอร์พูล ที่รับช่วงต่อจากเจ้านายเก่าอย่าง ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ได้เพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น การอำลาตำแหน่งของเขาครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเรื่องของการเจรจาทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขายผู้เล่น หรือแม้แต่เรื่องของการต่อสัญญา
โดยเฉพาะนักเตะระดับแกนหลักของสโมสรที่มีความสำคัญอย่างมาก แต่ก็ต้องอาศัยการตัดสินใจที่รอบคอบมากเช่นกัน การไม่มีคนทำหน้าที่โดยตรงในเรื่องนี้ทำให้ทุกอย่างถูกชะลอไปก่อน
ฤดูกาลที่แล้ว (2023/24) ลิเวอร์พูลต้องดึง ยอร์ก ชมัดท์เค อดีตผู้อำนวยการสโมสรโวล์ฟสบวร์ก ที่เป็นคนรู้จักกับคล็อปป์ เข้ามาช่วยงานเป็นการชั่วคราว แต่ก็รับผิดชอบเรื่องของการซื้อผู้เล่นเป็นหลัก (โดยเฉพาะจากบุนเดสลีกาอย่าง โดมินิก โซโบสไล และ วาตารุ เอนโดะ) ไม่ได้ยุ่งกับเรื่องของการต่อสัญญาใคร
เรื่องจึงค้างเติ่งอยู่แบบนี้ จนกระทั่งลิเวอร์พูลได้ ริชาร์ด ฮิวจ์ส มานั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการสโมสรคนใหม่ ภายใต้การนำของ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ อดีตผู้อำนวยการ ที่ไปนั่งตำแหน่งสูงกว่าในบทซีอีโอฟุตบอลของกลุ่ม Fenway Sports Group
คนดีลมาแล้ว แต่ดีลไม่เกิด?
“ผมแค่อยากจะสนุกกับมันไปแบบนี้ ตอนนี้ผมไม่คิดเรื่องสัญญาอีกแล้ว ผมรู้สึกว่าผมมีอิสระที่จะเล่นฟุตบอล และจากนั้นค่อยคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นในปีหน้า” ซาลาห์กล่าวถึงเรื่องอนาคตในการเล่นของตัวเองแบบไม่ต้องให้ใครไปตีความ
“ผมคิดว่าผมลงสนามวันนี้ด้วยคิดว่านี่คงจะเป็นครั้งสุดท้าย (ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด)
“ไม่มีใครที่สโมสรคุยกับผมเรื่องสัญญาใหม่ ดังนั้นผมจึงแค่เล่นฤดูกาลสุดท้าย และจากนั้นค่อยดูอีกครั้งตอนจบฤดูกาล”
จากคำพูดของซาลาห์ ทำให้แฟนลิเวอร์พูลหลายคนตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำงานของคนที่รับหน้าที่โดยตรงอย่างฮิวจ์ส ซึ่งก็โดนเพ่งเล็งอยู่แล้วจากฤดูร้อนที่เงียบกริบ ได้นักเตะเข้ามาเสริมทีมแค่ 2 คนคือ จอร์จี มามาดาชวิลี ประตูทีมชาติจอร์เจียจากบาเลนเซีย ที่กว่าจะย้ายมาจริงก็ต้องรอฤดูกาลหน้า และอีกคนคือ เฟเดริโก เคียซา ปีกทีมชาติอิตาลีจากยูเวนตุส ที่หลายคนมองว่าเป็นการซื้อลดแรงเสียดทาน
ตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าทำไมฮิวจ์สจึงไม่ยอมเปิการเจรจาสัญญากับซาลาห์ รวมถึงฟาน ไดจ์ค และอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์
แต่ในรายของสตาร์ชาวอียิปต์เป็นไปได้สูงว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องของค่าเหนื่อยมหาศาล ที่จะผกผันกับอายุที่สโมสรซึ่งบริหารต้นทุนอย่างคุ้มค่าที่สุดอย่างลิเวอร์พูล อาจคิดว่าไม่คุ้มค่าที่จะจ่ายเงินมหาศาลเพื่อนักเตะที่มีอายุมากกว่า 30 ปี ซึ่งรวมถึงรายของฟาน ไดจ์ค ด้วย
แม้ว่าผลงานของซาลาห์จะสุดยอดแค่ไหนก็ตาม
เรื่องนี้มองในความรู้สึกอาจจะโหดร้าย แต่ในเชิงของธุรกิจแล้วเป็นเรื่องที่ ‘พอเข้าใจได้’ โดยเฉพาะเมื่อลิเวอร์พูลกลับมาอยู่ใต้แนวทางของเอ็ดเวิร์ดส์ที่วางไกด์ไลน์ให้สโมสรชัดเจน โดยมีฮิวจ์สปฏิบัติตาม การตัดสินใจต่อสัญญาโดยอิง ‘ความรู้สึก’ เหมือนครั้งที่คล็อปป์บีบสโมสรให้ต่อสัญญากับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน อดีตกัปตันทีม จะไม่มีอีกต่อไป
อย่างไรก็ดี ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีโอกาสที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลง
ฤดูกาลเพิ่งเริ่มต้น ยังเหลือเวลาอีกหลายเดือนที่จะประเมินไปด้วยกัน เพราะ อาร์เน สลอต ก็เพิ่งรับตำแหน่งได้ไม่ถึง 2 เดือน
แต่ถ้ามันจะเป็นฤดูกาลสุดท้ายของซาลาห์กับลิเวอร์พูลจริงๆ นี่อาจจะเป็นปีที่เขาระเบิดฟอร์มสุดยอดที่สุดอีกครั้ง
“ผมอยากให้แฟนลิเวอร์พูลจดจำผมว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดนักเตะในประวัติศาสตร์ของสโมสรเทียบเท่ากับ สตีเวน เจอร์ราร์ด”
เรื่องนี้พูดก่อนหน้านี้อาจจะไม่รู้สึก แต่การที่ซาลาห์พูดตอนนี้ ในสถานการณ์นี้ และฟอร์มแบบนี้
เดอะค็อปเริ่มใจหายแล้ว
อ้างอิง: