ดีอะ คือซิงเกิลหลักลำดับที่ 10 ของไอดอลเกิร์ลกรุ๊ป BNK48 และยังเป็นออริจินัลซองครั้งแรกของวงที่ไม่ได้ดัดแปลงมาจากผลงานของวงรุ่นพี่ AKB48 และไม่ได้ถูกใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์หรือซีรีส์เหมือนอย่างที่ผ่านมา และยังเป็นการกลับมารับตำแหน่งเซ็นเตอรอีกครั้งของ โมบายล์-พิมรภัส ผดุงวัฒนะโชค ที่ใครหลายคนรู้จักเธอเป็นอย่างดีในฐานะเซ็นเตอร์จากเพลงระดับปรากฏการณ์อย่าง คุกกี้เสี่ยงทาย ที่ถูกปล่อยออกมาในปี 2560
ด้วยองค์ประกอบที่กล่าวมาข้างต้น ดูเหมือนว่าออริจินัลซองอย่าง ดีอะ จะกำลังทำหน้าที่นำเสนอ ‘ความเป็น BNK48’ ให้ทุกคนได้ทำความรู้จักมากกว่าครั้งไหนๆ
THE STANDARD POP จึงถือโอกาสชวนโมบายล์มาร่วมพูดคุย เพื่อหาคำตอบว่า ดีอะ กำลังนำเสนอ ‘ความเป็น BNK48’ ในแง่มุมไหนให้ทุกคนได้รู้จัก พร้อมกับสำรวจมุมมองความคิดของเธอในวันที่ได้กลับมารับตำแหน่งเซ็นเตอร์อีกครั้ง
“หนูรู้สึกว่าความสุขของการเป็น BNK48 คือการอยู่กับเพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ไม่ได้ตั้งความหวังว่าเราต้องเป็นที่หนึ่งหรือต้องเป็นอะไร หนูรู้สึกว่าความสุขของหนูคือการทำงานกับเพื่อนแล้วก็ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก”
ในวันที่โมบายล์ยังไม่ได้เป็นเซ็นเตอร์เพลง คุกกี้เสี่ยงทาย ช่วงเวลานั้นเราเป็นอย่างไรบ้าง
หนูรู้สึกว่าหนูเป็นเด็กเรียบร้อย (หัวเราะ) ย้ำนะคะว่าเป็นเด็กเรียบร้อย ด้วยความที่ยังไม่ได้สนิทกับเพื่อนในวงเท่าไร เราเลยยังเป็นตัวเองได้ไม่สุด เริ่มแรกเราจะสนิทกับคนที่อายุรุ่นเดียวกัน สักพักเหมือนเคมียังไม่ตรงกัน เราเลยย้ายไปอยู่หอ แล้วก็ได้รู้จักกับพี่ๆ ที่อายุโตกว่าอย่าง พี่ปูเป้ (ปูเป้-จิรดาภา อินทจักร), พี่น้ำหนึ่ง (น้ำหนึ่ง-มิลิน ดอกเทียน), พี่เนย (เนย-กานต์ธีรา วัชรทัศนกุล) พอสนิทกันปุ๊ป เราก็เริ่มรั่ว (หัวเราะ) เริ่มเป็นเด็กรั่วมากๆ เป็นเด็กเอเนอร์จี้เยอะ นอนคืออะไรไม่รู้จัก ไม่ชอบนอน ชอบเล่น
แล้วก็เป็นคนที่มุ่งมั่นในการทำตามความฝัน อย่างช่วงก่อนที่จะเดบิวต์เราต้องเก็บตัวกันประมาณหนึ่งปี เราก็จะซ้อมเต้นหนักมากๆ แล้วก็รู้สึกว่าเป็นคนคิดบวกดี อาจเพราะช่วงนั้นยังไม่มีเรื่องที่เครียดมากเท่าไร มีแค่ซ้อมหนักเฉยๆ
ตอนนั้นโมบายล์มีความคาดหวังอะไรในการเป็น BNK48
บางคนอาจจะคิดถึงเรื่องการเติบโตของวง อย่างเช่นเพลงอยู่ในกระแสหรือทำให้วงเป็นที่รู้จัก ซึ่งตอนเด็กๆ เราไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย เราคิดแค่ว่าเราชอบเต้น ชอบร้อง อย่างตอนเดบิวต์ครั้งแรกทุกคนจะกังวลว่าคนจะมาเยอะไหม ส่วนหนูไม่กังวลเลย หนูแค่คิดว่าเราจะทำอย่างไรให้คนชอบเราดี ให้เราเป็นตัวเองมากที่สุด
แต่ถ้าเป็นความคาดหวังแรกๆ ของหนูคือการติดเซ็มบัตสึ ด้วยความที่เพลง Aitakatta (อยากจะได้พบเธอ) คือซิงเกิลแรกของวง เราเลยค่อนข้างเครียดนิดหน่อย เพราะถ้าตัวเองไม่ติดเซ็มบัตสึ เราก็อาจจะไม่ค่อยได้ทำงานกับเพื่อน ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คือเราไม่ติด ส่วนเพื่อนเราที่สนิทด้วยเขาติดเซ็มบัตสึกันหมด จริงๆ เราก็ไม่ได้รู้สึกเคว้งขนาดนั้น แต่เห็นได้ชัดว่าเพื่อนที่ติดเซ็มบัตสึ เขาแยกไปซ้อมอีกห้อง ส่วนเราอยู่อีกห้อง มันเลยทำให้รู้สึกเหงาบ้าง
แล้วโมบายล์ปรับตัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร
ช่วงนั้นทำให้เราได้สนิทกับคนที่ไม่ได้ติดเซ็มบัตสึมากขึ้น อย่างพี่ปูเป้ที่ไม่ติดเหมือนกัน แล้วก็มี จิ๊บ (จิ๊บ-สุชญา แสนโคต), น้ำหอม (น้ำหอม-คริสติน ลาร์เซ่น อดีตสมาชิกวง BNK48 รุ่นที่ 1) เมมเบอร์เก่าๆ ก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น
แล้วเราก็ได้ทบทวนดูว่าที่เราไม่ติดอาจเป็นเพราะเรายังไม่ได้โชว์ความเป็นตัวเอง คนอาจจะยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราเท่าไร เหมือนการเป็น BNK48 เราต้องหาคาแรกเตอร์ของตัวเองด้วย ซึ่งแรกๆ เราก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องหาคาแรกเตอร์ของตัวเองนะ แต่ด้วยความที่เราอยู่กับเพื่อนบ่อยๆ จนคาแรกเตอร์มันออกมาเอง
บวกกับเรามีตู้ปลา (Digital Live Studio สถานที่ที่ให้เมมเบอร์มาทำกิจกรรมร่วมกันและเปิดให้แฟนคลับได้เข้าชม) มันก็เปิดโอกาสให้เราได้โชว์ความเป็นตัวเองมากขึ้น สามารถดึงดูดแฟนคลับได้มากขึ้น เราเลยคิดว่า ไม่เป็นไร อย่างนั้นเราก็ทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดี ถ้าไปตู้ปลาเราจะสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนอื่น แล้วเราก็จะขยันของเราเอง มันน่าจะมีสักวันที่เราจะไปถึงจุดนั้นได้บ้าง
ดูเหมือนว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วกว่าที่คิดนะ เพราะต่อมาโมบายล์ก็ถูกเลือกให้เป็นเซ็นเตอร์ในเพลง คุกกี้เสี่ยงทาย มันพลิกชีวิตเราไปอย่างไงบ้าง
ก็พลิกนะ เพราะตอนที่ยังไม่ติดเซ็มบัตสึ หนูรู้สึกว่าเรายังไม่ได้ทำหน้าที่ของ BNK48 เท่าไร ยังไม่ได้มีเพลงเป็นของตัวเอง ยังไม่มีตำแหน่งที่เป็นของเรา แล้วด้วยความที่เราเคยดูรุ่นพี่ AKB48 มาก่อน เราก็คิดว่าการทำหน้าที่ไอดอลคือร้อง เต้น มอบความสุข เป็นตัวเองแค่นั้น แต่ว่าสักพักมันเริ่มมีความกดดัน เป็นความกดดันแรกๆ ที่เข้าวงมาเลยคือการออกสื่อ ยิ่งเป็นเซ็นเตอร์ด้วยคือคุณต้องพูดเยอะๆ ต้องฟังเพลง ต้องเป็นแกนนำ แล้วตอนนั้นอายุ 15 หนูจะเป็นคนที่ถ้าตื่นเต้นแล้วจะพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง ตอนเด็กคือเป็นหนักมาก
อย่างสมมติว่าเราไปคอนเสิร์ต เราจะจำสคริปต์ให้แม่นๆ เพราะกลัวพูดผิด เราไม่สามารถไหลตามน้ำได้แบบต่อไปคนนี้พูดจบแล้วเราค่อยพูดต่อ แต่เราจะเป็นอารมณ์ถ้าเขาไม่พูดประโยคนี้มาเราจะไม่เริ่ม เราเลยจะชอบอ้ำอึ้งพูดไม่ออก แล้วก็จะโดนคนโจมตีเยอะว่าน้องคนนี้พูดไม่ได้เลย แล้วด้วยความที่เราไม่ติดเซ็มบัตสึมาก่อน แล้วอยู่ดีๆ ก็ขึ้นมาเป็นเซ็นเตอร์ ก็อาจจะทำให้บางคนรู้สึกว่าคิดถูกเหรอที่เอาน้องคนนี้มา
เลยทำให้เรารู้สึกว่าเราจะทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดีหรือเปล่า หรือเราเป็นแค่เซ็มบัตสึแถวหน้าก็พอ ได้อยู่ข้างๆ เพื่อนก็มีความสุขแล้ว แล้วก็ทำให้เรารู้สึกไม่อยากเป็นตำแหน่งเซ็นเตอร์เท่าไร เพราะตอนเด็กๆ เวลามีอะไรมากระทบเยอะๆ เราก็จะกลัวในสิ่งๆ นั้น
นั่นเป็นจุดแรกที่ทำให้เรารู้ว่าไอดอลมันมีอะไรมากกว่าการร้องการเต้น เราต้องรับมือกับสิ่งเหล่านี้ให้ได้ด้วย จากที่เวลาไปเดินสายเราไม่จำเป็นต้องพูด อยู่ข้างหลังให้พี่ๆ เขาพูดไป แต่พอมาอยู่ตรงนี้แล้ว เราต้องขึ้นมานำทีมให้ได้นะ
หลังจากผ่านซิงเกิล คุกกี้เสี่ยงทาย ไปแล้ว เรายังมีความคาดหวังในการเป็นเซ็นเตอร์อยู่ไหม
มีหวังเล็กๆ แต่ไม่ได้ถึงขนาดว่าฉันต้องไปอยู่จุดนั้นให้ได้นะ หนูรู้สึกว่าความสุขของการเป็น BNK48 คือการอยู่กับเพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน แค่ทำงานด้วยกันก็มีความสุขแล้ว ไม่ได้ตั้งความหวังว่าเราต้องเป็นที่หนึ่งหรือต้องเป็นอะไร หนูรู้สึกว่าความสุขของหนูคือการทำงานกับเพื่อนแล้วก็ได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก
“หนูไม่อยากให้มองว่าเพลงนี้ต้องโฟกัสที่เซ็นเตอร์เท่านั้น หนูอยากให้เพลงนี้เป็นภาพรวมของทุกๆ คน หนูคิดว่าการที่จะเป็นเพลงๆ หนึ่งได้ มันต้องมาจากแรงผลักดันของทุกๆ คนด้วย”
มาถึงตอนนี้โมบายล์ได้กลับมารับตำแหน่งเซ็นเตอร์อีกครั้งใน ดีอะ ออริจินัลซองครั้งแรกของวง เรารู้สึกกดดันมากกว่าตอน คุกกี้เสี่ยงทาย ไหม
ไม่กดดัน รอบนี้ไม่กดดัน ด้วยความที่เราติดเซ็มบัตสึมาประมาณ 3 ปีแล้ว เราได้ทำสิ่งที่เป็นจุดด้อยของตัวเองมาเยอะแล้ว อย่างเช่นการพูดเราก็ฝึกมาตลอดทุกๆ ปี เหมือนเราเจนเวทีขึ้นเลยไม่มีความกดดันมากเท่าไร เป็นตัวเองให้ดีที่สุด อาจจะมีผิดบ้างถูกบ้างก็ไม่เป็นอะไร
แล้วหนูก็ไม่อยากให้มองว่าเพลงนี้ต้องโฟกัสที่เซ็นเตอร์เท่านั้น หนูอยากให้เพลงนี้เป็นภาพรวมของทุกๆ คน ไม่อยากให้คิดว่าเซ็นเตอร์ต้องทำหน้าที่ขยายความของเพลงเท่านั้น จริงๆ มันก็มีส่วนนะ แต่หนูคิดว่าการที่จะเป็นเพลงๆ หนึ่งได้ มันต้องมาจากแรงผลักดันของทุกๆ คนด้วย
ก่อนที่โมบายล์จะพูดเก่งขึ้นขนาดนี้ เรามีวิธีฝึกฝนเรื่องการพูดของตัวเองอย่างไรบ้าง
ช่วงแรกๆ เราจะไปดูเพื่อนที่พูดเก่งๆ พูดจาฉะฉาน อย่างพี่เฌอ (เฌอปราง อารีย์กุล), พี่ปัญ (ปัญ-ปัญสิกรณ์ ติยะกร), พี่สิค (มิวสิค-แพรวา สุธรรมพงษ์) ไปดูว่าเขาพูดอย่างไรแล้วเราก็จำมาใช้ อย่างเช่นช่วงแรกเราจะซ้อมบ่อยๆ ตอนอาบน้ำ อาบน้ำไปก็พูดไปเรื่อยๆ ฝาก Facebook, YouTube BNK48 ด้วยนะคะ ประมาณนี้
แต่พอเราโตขึ้นก็รู้สึกว่าวิธีการพูดของพี่เขาอาจจะดูเป็นทางการไป มันอาจจะไม่ค่อยเข้ากับเราเท่าไร เลยคิดว่าถ้าอย่างนั้นตัวเราคิดอะไรก็พูดออกมาดีกว่า เพราะตอนเด็กๆ เราแค่จำสคริปต์ว่าเพลงคืออะไร แต่ไม่เคยพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาเลย อย่างพี่ปัญเขาจะมีวิธีการพูดที่คิดมาจริงๆ ไม่ใช่ตามสคริปต์ว่าจะต้องฝากอันนี้นะคะ เขามีความเป็นทางการแล้วก็มีความเป็นตัวของตัวเองด้วย ถ้าอย่างนั้นเราทำแบบนี้ดีกว่า ถ้าอันไหนจริงจังเราก็จริงจัง อันไหนเล่นเราก็เป็นตัวของตัวเอง
ลองให้คะแนนดูไหม เรื่องการพูดจากวันนั้นถึงวันนี้ คะแนนเต็ม 10 ให้ตัวเองเท่าไร
(คิดนาน) ให้ซัก 7 แล้วกัน หนูว่ามันก็ยังไม่ได้ดีขึ้นขนาดนั้น แต่ว่ามันก็ผ่อนคลายขึ้นแล้ว อาจจะต้องคุมสตินิดหน่อยเวลาที่ตื่นเต้น ถ้ามีเพื่อนอยู่ด้วยก็อาจจะดีขึ้น แต่ถ้าเรามาคนเดียวแบบนี้มันก็จะมีความตื่นเต้นนิดหน่อย โดยรวมแล้วก็ดีขึ้น หนูให้ 7 ค่ะ
“ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่คุยกันแล้วเรารู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะ เรายังมีเพื่อนนะ ตั้งแต่วันนั้นถ้าเรามีเรื่องอะไรที่สามารถคุยกับเพื่อนได้ เราก็จะมาแชร์ให้เพื่อนฟัง มันเลยทำให้เรารู้สึกว่าที่ตรงนั้นเป็นจุดที่มีความทรงจำดีๆ มากมาย แล้วก็เป็นจุดที่ทำให้เราผ่อนคลายมากขึ้น”
ตอนที่โมบายล์รู้ว่า ดีอะ จะเป็นออริจินัลซอง เรารู้สึกอย่างไรบ้าง
ก่อนหน้านี้เราเคยได้ยินมาคร่าวๆ บ้างว่าจะมีออริจินัลซอง ก็รู้สึกตื่นเต้นดีว่าเพลงจะออกมาเป็นอย่างไร จะเป็นเพลงแนวไหน เขาจะสื่ออะไรออกมา พวกเราก็นั่งคุยกันว่าออริจินัลซองน่าจะเป็นเพลงที่ตีตลาดคนไทยได้เยอะ น่าจะเป็นเพลงที่แมส คนต้องฟัง ต้องเต้นตาม หนูคิดว่านี่คือจุดประสงค์หลักของการมีเพลงนี้ แต่งเพลงใหม่เพื่อให้ตรงกับคนไทยมากขึ้น แล้วก็ได้เป็นเพลงของ BNK48 จริงๆ
ถ้าอย่างนั้นเพลง ดีอะ กำลังนำเสนอความเป็น BNK48 ในแง่มุมไหนให้คนภายนอกได้รู้จัก
เนื้อหาของเพลงจะพูดถึงเด็กผู้หญิงที่กำลังนั่งจับกลุ่มคุยกัน เมาท์มอยกันประมาณว่าดูซีรีส์เรื่องนี้แล้วแบบ อุ๊ย คนนั้นก็ดีอะ คนนี้ก็ดีอะ ได้มโน ได้มานั่งคิดก็มีความสุขแล้ว คือกิจกรรมแบบนี้เราทำกันบ่อย ทานข้าวไปดูทีวีไป ดูไอดอลญี่ปุ่น ไอดอลเกาหลี ดูแล้วได้แพสชัน ได้กำลังใจ เนื้อหาของเพลงจะประมาณนี้
ซึ่งหนูก็ไม่คิดเหมือนกันว่ากิจกรรมที่เราชอบทำกันบ่อยๆ มันจะกลายมาเป็นเพลงได้ หนูเลยรู้สึกว่ามันเป็นตัวเองดี เพราะปกติเพลงของเราจะมาจากวงรุ่นพี่ เขาก็จะมีเนื้อหาของเขา มีเมโลดีของเขา แต่ครั้งนี้ครูเอ๊ะ (เอ๊ะ-พงศ์จักร พิษฐานพร) เขาแต่งเพลงนี้ขึ้นมาจากการดูว่าชีวิตจริงๆ ของพวกเราเป็นอย่างไร เขาเลยเอาเนื้อหาของเราคร่าวๆ มาใส่ในเพลง เพื่อให้คนฟังสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น
ปกติโมบายล์จะนั่งเมาท์มอยกับใครเป็นส่วนใหญ่
ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กหอ เพราะเราจะมีการทำงานกันที่หอด้วย เพื่อนทุกคนที่มาทำงานก็จะมานั่งรอกันอยู่ในห้องนั่งเล่น อย่างพี่ตาหวาน (ตาหวาน-อิสราภา ธวัชภักดี) เขาจะชอบไอดอลเกาหลี เขาก็จะมาแนะนำไอดอลเกาหลีให้เราดูว่าคนนี้งานดี คนนี้มีออร่า แต่ดูไปมันก็แอบๆ มีสาระบ้าง เพราะเราก็ได้เทคนิคจากไอดอลที่เราดู อย่างเช่นเขาเพอร์ฟอร์มบนเวทีอย่างไร เราก็นำมาปรับใช้กับการเพอร์ฟอร์มของเราได้เหมือนกัน หรืออย่างดูซีรีส์ ใครมีเรื่องอะไรมาแนะนำก็จะมานั่งดูด้วยกัน นั่งกินข้าวด้วยกัน ดู YouTube ฟังเพลงด้วยกัน
ได้ยินมาว่าใน BNK48 จะมีกลุ่มที่ชื่อว่าแก๊งหน้าทีวีด้วย
อ่อ แก๊งหน้าทีวี (หัวเราะ) บางวันที่เราเปิดคอนเสิร์ตกัน พวกเราก็จะยืนเต้นกันอยู่หน้าทีวี เพราะด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เราไม่สามารถขึ้นสเตจได้ (การแสดงภายในเธียเตอร์ BNK48 The Campus ณ เดอะมอลล์บางกะปิ) เราเลยเปิดดูสเตจของเราย้อนหลังบ้าง ดูสเตจคนอื่นบ้าง เต้นกันอยู่หน้าทีวีบ้าง มันก็สร้างเสียงเฮฮาได้ดี
เหมือนพวกเราก็น่าจะเครียดกัน ด้วยความที่เราอยู่ด้วยกันมานาน เราเจออะไรมาเยอะ เลยคิดว่าจุดที่เราอยู่ตรงนี้คือจุดที่เราได้มาผ่อนคลายความเครียด สมมติว่าเรามีเรื่องเครียด ถ้าเราอยู่คนเดียวเราก็อาจจะยิ่งดาวน์ แต่พอเรามานั่งตรงนี้ ได้นั่งกับเพื่อน ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ไม่ต้องหาวีธีแก้ไขก็ได้ แค่เล่าประสบการณ์ว่าคนนี้ก็เจอแบบนี้มา ฉันก็เจอแบบนี้เหมือนกัน แค่นั้นก็ทำให้เรารู้สึกมีความสุขมากขึ้นแล้ว
โมบายล์มีโมเมนต์ของการเมาท์มอยที่เราจำได้ขึ้นใจไหม เช่น การเมาท์มอยในวันนั้นทำให้เรารู้สึกดีขึ้นมากๆ
หนูเป็นคนที่ชอบอ่าน DM ทั้งข้อความที่ดีและไม่ดี แล้วก็มีที่ดีมากๆ แต่ก็แอบมีความคาดหวังอยู่ในนั้น ซึ่งพอเราอ่านแล้วเราก็เป็นทุกข์เป็นท้อ อย่างเช่นเขาอยากจะสอนว่าเราควรทำตัวอย่างนี้นะ มันทำให้เราเกิดอาการอึดอัด ซึ่งเราก็เจอแบบนี้มานานแล้วแต่ไม่เคยพูดกับใคร จนกระทั่งวันนั้นเราลองไปปรึกษากับพี่ปูเป้และพี่น้ำหนึ่งว่าเคยเจอปัญหาแบบนี้ไหม พี่เขาก็บอกว่า อื้ม เจอเหมือนกัน
ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่คุยกันแล้วเรารู้สึกว่า เพื่อนก็เจอเรื่องแบบนี้เหมือนกันนะ อย่างนั้นไม่เป็นไร เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะ เรายังมีเพื่อนนะ ตั้งแต่นั้นเวลาที่เราเครียดเราจะไม่เก็บไปคิดคนเดียวหรือว่าไปนั่งบั่นทอนจิตใจคนเดียว ถ้าเรามีเรื่องอะไรที่สามารถคุยกับเพื่อนได้เราจะแชร์ให้เพื่อนฟัง เราเลยรู้สึกว่าที่ตรงนั้นเป็นจุดที่มีความทรงจำดีๆ มากมาย แล้วก็เป็นจุดที่ทำให้เราผ่อนคลายมากขึ้น
“อยากให้ทุกคนชอบในสิ่งที่เพลงมันเป็นมากกว่า อยากให้ทุกคนฟังแล้วมีความสุขไปกับเพลง ไม่อยากให้เครียดว่าเพลงนี้มันจะต้องเทียบเท่า คุกกี้เสี่ยงทาย ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น”
ช่วงที่ประกาศเพลง ดีอะ ใหม่ๆ โมบายล์เคยคุยกับแฟนคลับในไลฟ์ iAM48 ว่า “ไม่อยากให้ทุกคนคาดหวังว่าเพลงนี้จะดังหรือไม่ดัง จะมีคนชอบหรือไม่ชอบ แต่อยากให้ทุกคนสนุกไปกับเพลงมากกว่า” ทำไมโมบายล์ถึงรู้สึกแบบนี้
หนูรู้สึกว่าแฟนคลับเราค่อนข้างซีเรียสว่าออริจินัลซองจะต้องแมส ต้องเป็นเพลงที่ฟังง่าย ฟังได้ทุกคนทุกวัย อย่างเช่นพอเราปล่อยเพลงมาก็จะมีบางคนที่คิดว่าทำไมไม่ทำเพลงแนวนี้ ทำไมไม่เอาคนแต่งเพลงที่แมสๆ มาทำให้เพลงเราแมสไปเลย เปลี่ยนลุคใหม่ให้ดูแมสขึ้น
หนูเลยรู้สึกว่ามันอาจจะเครียดเกินไป ไม่อยากให้แฟนคลับคิดแบบนั้น เพราะเราคิดว่าเพลงนี้ถูกแต่งขึ้นมาเพื่อสร้างความสุขให้กับทุกคน ให้คนเข้าใจความหมายของเพลงที่เราอยากจะสื่อ แต่กลับกลายเป็นว่าทุกคนเครียดกับมันว่าเพลงจะออกมาดีไหม ซึ่งหนูเข้าใจเขานะที่คิดแบบนั้น หนูเลยไม่อยากให้ทุกคนเครียด
ถามว่าตัวหนูเองคาดหวังไหม เราก็หวังที่อยากจะให้เพลงดังนะ แต่เราไม่ได้คาดหวังว่าเพลงจะต้องดังขนาดนั้น ให้เพลงมันทำงานของมันไป อยากให้ทุกคนชอบในสิ่งที่เพลงมันเป็นมากกว่า อยากให้ทุกคนฟังแล้วมีความสุขไปกับเพลง ไม่อยากให้เครียดว่าเพลงนี้มันจะต้องเทียบเท่า คุกกี้เสี่ยงทาย ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น
“เราอาจจะไม่ได้คิดบวกเหมือนตอนเด็กๆ พอเราโตขึ้นเราก็ได้เจอกับสิ่งที่มันกระทบจิตใจมากขึ้น แล้วเราก็ได้เรียนรู้จากมันมากขึ้น คือเราก็ยังมีความเศร้าอยู่ แต่เราก็เข้าใจว่าโลกมันก็เป็นแบบนี้แหละ มันต้องมีเรื่องที่เข้ามากระทบหรือทำให้รู้สึกไม่อยากทำบ้าง เราก็แค่ทำให้ดีที่สุดในแบบของเราไป”
เมื่อสักครู่เราให้โมบายล์พูดถึงตัวเองในช่วง คุกกี้เสี่ยงทาย ไปแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาแล้วประมาณ 4 ปี โมบายล์จะนิยามตัวเองในวันนี้ว่าอย่างไร
เป็นคนที่ซื้อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง เสียใจได้ ร้องไห้เป็น โกรธได้ เศร้าได้ ดีใจได้ เป็นคนที่สนุกกับทุกอารมณ์ของตัวเองที่เกิดขึ้นมาในร่างกาย มีความเป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ไม่ได้โลกสวยหรือคิดบวกเหมือนสมัยก่อน เพราะเราอาจจะไม่ได้เจอเรื่องที่มันกระทบรุนแรงมาก ตอนนี้มันผ่านมาหมดแล้ว ก็เลยมีทั้งมุมที่คิดลบบ้าง คิดบวกบ้าง ผสมปะปนกันไป
แล้วก็เป็นคนที่รักในสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ มีทางเป็นของตัวเองอย่างชัดเจน สมมติหนูอยากเป็นนักร้อง หนูก็ยังมีความฝันนี้มาโดยตลอด แล้วก็รู้สึกว่าเป็นคนเข้าใจคนอื่น สมมติว่าเขานิสัยไม่ดี หนูก็จะพอเข้าใจว่าทำไมเขาถึงนิสัยไม่ดี เหมือนเราผ่านอะไรมาเยอะ ผ่านมาทุกอารมณ์ของตัวเอง จนทำให้เราสามารถรู้ได้ว่าคนๆ นี้เขาเป็นอย่างไร แบบเราเข้าใจนะที่เธอทำแบบนี้
นอกจากความคิดบวกแล้ว มีอะไรอีกบ้างที่เรารู้สึกว่ามันหายไปหรือเปลี่ยนไปจากเดิม
มันเป็นช่วงๆ มากกว่า อย่างช่วงอายุประมาณ 16-17 ที่อารมณ์ของเราจะพุ่งพล่านมากๆ เป็นช่วงที่เราค่อนข้างดาวน์ เหมือนก่อนหน้านั้นเราเป็นคนที่คิดบวก อย่างเช่นเราจะทำให้ได้ เราจะพัฒนาตัวเอง ตรงนี้ไม่ได้เราจะกลับไปซ้อม แต่ด้วยความที่มันผ่านมาประมาณ 2 ปี เราเลยมีความรู้สึกว่ามันเหนื่อยแล้ว ทำไมต้องเครียด ต้องกดดันขนาดนั้น ไม่อยากทำแล้ว อยากจะ Say Bye ทุกอย่าง ก็มีความรู้สึกแบบนั้นบ้าง
หนูเลยรู้สึกว่าเราอาจจะไม่ได้คิดบวกเหมือนตอนเด็กๆ เหมือนพอเราโตขึ้นเราก็ได้เจอกับสิ่งที่มันกระทบจิตใจมากขึ้น แล้วเราก็ได้เรียนรู้จากมันมากขึ้น แต่ว่าช่วงนี้ก็ดีขึ้นแล้ว ประมาณ 18-19 เป็นช่วงที่กำลังดีขึ้น คือเราก็ยังมีความเศร้าอยู่ แต่เราก็เข้าใจว่า โลกมันก็เป็นแบบนี้แหละ มันต้องมีเรื่องที่ทุกข์บ้าง มันไม่มีอะไรที่ทำแล้วสบายหรือว่าทำแล้วมันจะดีไปตลอด มันต้องมีอุปสรรคบ้าง มันต้องมีเรื่องที่เข้ามากระทบหรือทำให้รู้สึกไม่อยากทำบ้าง เราก็แค่ทำให้ดีที่สุดในแบบของเราไป
แล้วอะไรคือความสุขของโมบายล์ในวันนี้
น่าจะเป็นการได้พักผ่อน พักผ่อนในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการนอนนะคะคุณพี่ (หัวเราะ) คือได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก สมมติว่าเราเสร็จงานนี้ปุ๊ป เราจะไปทำผม เพราะหนูชอบทำผมชอบเสริมสวย หรือกลับไปทำคัฟเวอร์เพลง เพราะหนูชอบดูคลิปคัฟเวอร์ ชอบดนตรี ชอบเสียงเพลง ได้กลับไปทำในสิ่งที่ตัวเองชอบตัวเองรักในทุกๆ วัน ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขที่สุด
ณ เวลานี้กระแสของวงการ T-Pop กำลังมาแรงมากๆ มีวงไอดอลใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย โมบายล์รู้สึกกดดันไหม เพราะในขณะเดียวกัน ดูเหมือนว่าคู่แข่งของเราก็เพิ่มมากขึ้นด้วย
ไม่กดดัน มันดีด้วยซ้ำที่มีวงใหม่ๆ เกิดขึ้นมา เหมือนเราได้มีเพื่อนที่ทำในสิ่งเดียวกัน ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักด้วยกันแล้วพากันไป สมมติเราบอกว่า อย่าเพิ่มขึ้นมานะ วงฉันจะดังคนเดียว มันก็ไม่สามารถผลักดันให้วงการ T-Pop ขึ้นไปได้ ถ้าเราร่วมด้วยช่วยกัน หนูว่ามันน่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า เลยรู้สึกดีใจมากกว่า ไม่ได้กดดันว่าเขาเป็นคู่แข่ง หนูกลับรู้สึกว่าเราเป็นครอบครัวด้วยกัน อยู่ในวงการเดียวกัน เป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตัวเอง ซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่ชอบ ทำสิ่งที่ตัวเองรัก หนูว่าสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนที่ดีมากๆ
สำหรับใครก็ตามที่มีความฝันว่าอยากจะเป็นไอดอลเหมือนกัน สิ่งสำคัญที่สุดที่โมบายล์อยากจะแนะนำคืออะไร
(คิดนาน) ให้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก แล้วก็อย่าลืมว่าเราเคยอยากที่จะทำตรงนี้ เพราะหนูรู้สึกว่าพอเราเข้ามาอยู่ในวงการปุ๊ป มันจะมีเรื่องราวหลายๆ อย่างที่อาจจะเข้ามาทำให้เรารู้สึกไม่อยากทำแล้ว อยากให้เราคิดไว้เสมอว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันคือสิ่งที่เรารักนะ แล้วก็อยากให้ทำในสิ่งที่เป็นตัวเอง ทำในสิ่งที่ไม่กดดันตัวเองมาก ทำในสิ่งที่ตัวเองมีความสุข แล้วก็อย่าลืมว่าตัวเองเคยอยากเป็นอะไร
รับชมมิวสิกวิดีโอเพลง ดีอะ ได้ที่นี่
ติดตามความเคลื่อนไหวของโมบายล์ได้ที่นี่
www.facebook.com/bnk48official.mobile
www.instagram.com/mobile.bnk48official/?hl=th
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง: