×

EXCLUSIVE INTERVIEW: ‘Now or Never’ โคตะ มิอุระ กับเสียงสะท้อนที่ก้องในใจของนักสู้ ผู้อยากเป็นดวงดาวนำทางให้ทุกคน

18.08.2022
  • LOADING...
Miura Kota

“เอาเรื่อง”

 

แววตาที่อยู่ใต้นัยน์ตาซุกซนของเด็กหนุ่มวัยกระเตาะแค่ 20 ปีคนนี้มันเอาเรื่องไม่เบา แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจที่มีอัดแน่นในตัวอย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งสะท้อนผ่านคำตอบที่ฉะฉานไม่เสียเวลาคิดนาน

 

ดูก็รู้ว่าเด็กคนนี้ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี ไม่ใช่แค่ในเรื่องของความเป็นนักกีฬา แต่เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการเป็น ‘สตาร์’ ตัวจริง แต่นั่นก็ไม่น่าแปลกใจอะไรนัก เพราะในเรื่องหลังไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เขาก็ได้รับการสั่งสอนอย่างดีจากแบบอย่างในครอบครัวที่ล้วนเป็น ‘ดวงดาว’ ในประเทศญี่ปุ่น

 

พ่อ (คาซูโยชิ มิอุระ) คือนักฟุตบอลระดับตำนานตลอดกาล ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่านี้แล้ว ขณะที่แม่และพี่ชายต่างก็อยู่ในวงการบันเทิง ไม่แปลกที่โคตะ มิอุระ จะมีรัศมีของความเป็นดาราเปล่งประกายที่ชัดเจน

 

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาอยากจะเป็นเหมือนใคร เพราะเด็กคนนี้ต้องการจะเป็นที่รู้จักและจดจำด้วยตัวของเขาเอง

 

ความตั้งใจนั้นแรงกล้าถึงขั้นกล้าที่จะบอกพ่อว่าจะเลิกเล่นฟุตบอลแล้วหันไปเอาดีทางกีฬาต่อสู้ และใช้เวลาตั้งแต่เข้าเรียนไฮสคูลเป็นต้นมาเพื่อที่จะฝึกฝนตนเองจนเก่งกล้ามากพอที่จะขึ้นสู้ในระดับอาชีพ และดังเป็นพลุแตกกับชัยชนะในไฟต์แรกในวันส่งท้ายปีเก่าของปี 2021 และดังสุดๆ หลังประกาศว่าจะขึ้นชกรายการพิเศษกับ บัวขาว บัญชาเมฆ (ชนิดที่แฟนคลับชาวไทยถึงกับร้องขอชีวิตให้พี่บัวขาวเบามือหน่อย!)


ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ เราต่างก็เพิ่งจะรู้จัก โคตะ มิอุระ กันได้ไม่นาน และเรื่องราวส่วนใหญ่นั้นมาจากเรื่องเล่าในอินเทอร์เน็ตเสียส่วนมาก

 

เมื่อมีโอกาสได้เจอตัวเป็นๆ THE STANDARD จึงขอชวนนักชกหนุ่มผู้ที่กลายเป็นขวัญใจของแฟนกีฬา (สาว) ไทยในชั่วข้ามคืนมาพูดคุยถามไถ่ก่อนที่จะขึ้นชกกับตำนานที่คนญี่ปุ่นทั้งรักและเกรงขาม และแน่นอนว่าเป็นคนที่โคตะรู้จักเป็นอย่างดีอย่าง บัวขาว บัญชาเมฆ ในวันพรุ่งนี้ (19 สิงหาคม) ในศึก ‘เลเจนด์ออฟราชดำเนิน’

 

มีหลายเรื่องที่เราอยากรู้ ตั้งแต่วันที่บอกกับพ่อว่าจะเป็นนักกีฬาต่อสู้ ไอดอลตัวจริง ไปยันคำว่า ‘Now or Never’ ที่อยู่บนรองเท้าสีขาวของเขา (ซึ่งมีลายของสุนัขตัวโปรดอยู่ด้วย)

 

มาทำความรู้จัก โคตะ มิอุระ ให้มากขึ้นอีกนิดในบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้กัน

 

 

ความรู้สึกหลังจากที่เดินทางมาถึงประเทศไทยและได้รับการต้อนรับอย่างดีมากๆ จากแฟนคลับชาวไทย?

 

(ยิ้ม) ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากๆ ที่แฟนๆ ให้การต้อนรับขนาดนี้

 

ประทับใจอะไรในเมืองไทยบ้าง?

 

อย่างแรกคืออาหารไทยอร่อยมากจริงๆ การได้พบกับผู้คนมากมายทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นมาก ทุกคนให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ผมรู้สึกดีใจมากๆ

 

ถ้าอย่างนั้นต้องถามแล้วว่าชอบอาหารไทยเมนูไหนเป็นพิเศษ?

 

ผมชอบไก่ย่างของไทย แล้วก็อาหารจำพวกข้าวผัด เพราะข้าวผัดของไทยและญี่ปุ่นมีการปรุงรสที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งผมชอบข้าวผัดของไทยมากๆ 

 

 

เอาล่ะ ย้อนกลับมาที่เรื่องของโคตะเองบ้าง อยากให้โคตะเล่าเส้นทางชีวิตสั้นๆ สักหน่อย เรารู้ว่าพ่อของคุณคือตำนานนักฟุตบอล แต่คุณมาเป็นนักสู้ได้อย่างไร?

 

จริงๆ ตอนแรกผมก็เล่นฟุตบอลเหมือนพ่อนะ แต่พอได้เริ่มรู้จักกับกีฬาศิลปะการต่อสู้ ก็เริ่มสนใจแล้วก็หลงรักกีฬาชนิดนี้

 

ตอนเล่นฟุตบอลนี่โคตะเล่นตำแหน่งอะไร?

 

ผมเล่นกองหน้า

 

เคยได้ยินว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ชอบกีฬาต่อสู้ ก็เพราะนั่งดูกับพ่อมาตั้งแต่เด็กใช่ไหม?

 

ใช่ ผมนั่งดูเทปกีฬาเกี่ยวกับการต่อสู้มาตลอด มันก็เลยมีความสนใจมาตั้งแต่เด็กๆ

 

มีไอดอลในดวงใจคนไหนเป็นพิเศษไหม? 

 

ถ้าเป็นกีฬาต่อสู้ ผมชอบ ไมค์ ไทสัน แต่ถ้าในประเทศญี่ปุ่นไอดอลของผมคือ เทนชิน นาสุคาวะ นักกีฬาคิกบ็อกซิ่ง แต่ผมไม่ได้อยากเป็นเหมือนพวกเขานะ ผมอยากเป็นตัวผมเองเป็น ‘โคตะ มิอุระ’ ที่ไม่มีใครเหมือน ผมอยากสร้างทุกอย่างด้วยสไตล์การชกของตัวเอง 

 

 

จุดเปลี่ยนที่ตัดสินใจว่าจะหันเหสู่การชกมวยเต็มตัว?

 

จริงๆ ผมก็ชอบการเตะฟุตบอล ตอนนี้ก็ยังเตะบอลเล่นกับเพื่อนเป็นงานอดิเรกอยู่ แต่ผมก็ชอบกีฬาต่อสู้ เลยมีความตั้งใจตั้งแต่เด็กๆ ว่าถ้าผมเรียนจบมัธยมต้น ผมจะหันมาเล่นกีฬาต่อสู้แบบเต็มตัว ซึ่งตอนแรกที่ผมได้ลองกีฬาต่อสู้คือตอนเรียนชั้นมัธยม 2

 

ช่วงที่เรียนไฮสคูลเคยขึ้นเวทีบ้างไหม จำความรู้สึกครั้งแรกได้ไหม?

 

ผมไม่เคยขึ้นชกเลยในช่วงนั้น เอาจริงๆ ผมไม่เคยขึ้นแข่งในระดับสมัครเล่นเลย ผมเพิ่งจะได้ขึ้นเวทีครั้งแรกในรายการปลายปีที่ผ่านมานี่เอง

 

มีเหตุผลไหมที่ทำแบบนั้น?

 

ตอนแรกก็มีความสนใจที่อยากจะชกแบบมวยสมัครเล่นเหมือนกันในช่วงไฮสคูล แต่ผมคิดว่าถ้าได้เปิดตัวครั้งแรกด้วยการเป็นการชกระดับอาชีพ มันน่าจะมีอิมแพ็กมากกว่า ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะมีคนสนใจมาก-น้อยแค่ไหน แต่น่าจะมีอิมแพ็กมากกว่าการที่ต้องมาชกสมัครเล่นนิดหน่อย แล้วถึงมาเปลี่ยนเป็นระดับมืออาชีพทีหลัง (ซึ่งก็มีอิมแพ็กจริงๆ แค่ไฟต์แรกก็ทำให้เขาโด่งดังมากในญี่ปุ่นเพราะขึ้นเวทีใหญ่อย่าง RIZIN)

 

ก่อนถึงไฟต์แรกเตรียมตัวอย่างไรบ้าง พอจะเล่าได้ไหม?

 

ในการขึ้นชก MMA ไฟต์แรกของผม อย่างแรกเลยคือผมต้องฟิตซ้อมร่างกายให้ดีมากๆ อย่างต่อมาคือไฟต์แรกของผมเป็นการชกเปิดตัวในศึก ‘RIZIN.33’ ซึ่งเป็นรายการใหญ่ของญี่ปุ่น มันทำให้ผมไม่สามารถคิดถึงแต่เรื่องของตัวเองได้ ผมต้องคิดถึงคนดูด้วยว่าทำอย่างไรถึงจะทำให้พวกเขาดูการชกของเราด้วยความสนุกแล้วไม่ผิดหวังในตัวเรา 

 

นั่นหมายถึงลูกเตะปิดฉากไฟต์ด้วยหรือเปล่า? (โคตะชนะน็อก ยูชิ คู่แข่งไฟต์แรกได้ด้วยการหวดเข้าเต็มๆ จนกรรมการต้องยุติการชก)

 

ผมอยากโชว์ความเป็นตัวตนของผมเอง ท่าลูกเตะ ‘Soccer Ball Kick’ (เพราะพ่อเป็นกองหน้า!) ก็เป็นหนึ่งในท่าที่ทำให้คู่ต่อสู้ในไฟต์เปิดตัวของผมน็อกในคืนนั้น ซึ่งผมเล็งไว้ว่าถ้าพอมีจังหวะให้ทำได้ผมก็จะใช้ท่านี้

 

พูดถึงภาพประทับใจหลังไฟต์นั้น ตอนที่พ่อ-แม่เข้ามาสวมกอดหลังชนะไฟต์แรก พ่อได้พูดอะไรหรือไม่ หรือโคตะได้พูดอะไรกับพ่อหรือเปล่า?

 

ถ้าจำไม่ผิดพ่อบอกว่า เก่งมากที่เอาชนะมาได้ และภูมิใจในตัวผม 

 

 

แล้วโคตะใช้ชีวิตในฐานะลูกชาย ‘คิงคาซู’ อย่างไรบ้าง มีการเรียนรู้หรือได้รับคำสอนอะไรจากพ่อบ้าง 

 

อย่างแรกของการเป็นนักกีฬาอาชีพ ต้องไม่ลืมที่จะให้ความสำคัญกับคนในครอบครัว และการเป็นนักกีฬาต้องหมั่นรักษาสภาพร่างกายให้ดี แล้วเมื่ออยู่ในจุดที่เป็นระดับมืออาชีพแล้ว ผมก็อยากเป็นต้นแบบให้กับเด็กรุ่นใหม่ได้ดูเป็นตัวอย่างเหมือนกัน

 

แล้ววันแรกที่บอกพ่อว่าต้องการเป็นนักมวยอาชีพ?

 

พ่อไม่ได้ห้าม กลับกันก็เชียร์ผมด้วยซ้ำ อยากให้ผมได้ทำเต็มที่ในเส้นทางนี้ แต่ว่าพ่อก็เป็นห่วงผม เพราะอาชีพที่ผมทำคือการชกมวย แต่พ่อก็บอกว่าเส้นทางนักกีฬาอาชีพไม่ง่าย แต่ก็อยากให้เต็มที่และตั้งใจทำในสิ่งที่ผมต้องการทำ 

 

 

จุดสูงสุดที่ฝันไว้คือ?

 

ผมอยากเป็นหนึ่งเดียว เป็นซูเปอร์สตาร์ของวงการกีฬานี้ที่ไม่เหมือนใคร อันนี้คือเป้าหมายสุดท้ายของผม แต่ในการที่จะเป็นอย่างนั้นได้ผมก็ต้องให้ความสำคัญในทุกๆ ไฟต์ที่จะได้ลงแข่งขันหลังจากนี้ เพราะในแต่ละไฟต์จะช่วยสร้างคุณค่าในตัวของผมให้ทุกคนเห็นได้มากขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

ถ้าอย่างนั้นไฟต์นี้ (กับบัวขาว) ก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของคุณในเส้นทางนักมวยอาชีพ คุณอยากให้คนไทยที่ได้ดูโคตะในไฟต์นี้จดจำคุณในรูปแบบไหน 

 

การที่ผมได้ขึ้นเวทีร่วมกับบัวขาว สำหรับผมมีแต่ได้กับได้ อย่างแรกคือได้เรียนรู้และซึมซับทักษะการต่อสู้จากบัวขาว แล้วต่อมาคือการได้เรียนรู้ความเป็นมืออาชีพของวงการกีฬาต่อสู้จากบัวขาวด้วย

 

ส่วนหลังจากนี้ผมอยากให้คนที่เป็นทั้งแฟนคลับหรือไม่ใช่แฟนคลับได้ให้กำลังใจผมต่อไป ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่ไฟต์นี้ แต่รวมถึงไฟต์ต่อๆ ไปที่จะมีขึ้นในอนาคตด้วย อยากให้ทุกคนเป็นกำลังใจให้ผมด้วยครับ 

 

 


หลังจากได้เจอ ‘บัวขาว’ ตัวจริงแล้วรู้สึกอย่างไร

 

จริงๆ ผมรู้จักพี่บัวขาวมานานแล้วว่าเป็นตำนานนักมวยไทย ตอนเจอครั้งแรกก็รู้สึกดีใจและเป็นเกียรติมากที่ได้พบกับนักมวยระดับตำนาน แล้วพอได้มาสัมผัสกับพี่บัวขาวจริงๆ ทำให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่ใจดี เป็นคนที่น่ารักมาก เป็นคนที่เข้าถึงได้ง่ายมาก ส่วนไฟต์ในวันที่ 19 สิงหาคมนี้เป็นการชกแบบ Exhibition ผมไม่ได้มองพี่บัวขาวเป็นศัตรู แต่อยากจะสร้างอะไรสักอย่างกับพี่บัวขาวบนเวทีนี้ให้คนดูได้เห็นมากกว่า

 

แต่บัวขาวบอกว่าถึงไฟต์นี้จะเป็น Exhibition แต่ถ้าโคตะอยากจะจริงจัง บัวขาวก็พร้อมจะจริงจังเหมือนกันนะ 

 

ผมก็ไม่รู้ว่าจะจริงจังขนาดไหน (หัวเราะ) ผมเองก็อยากจะทำให้เต็มที่ งัดความสามารถที่มีออกมาใช้ให้ได้มากที่สุด ผมรู้สึกว่าแฟนคลับที่ไทยอบอุ่นมาก คอยมาเชียร์และให้กำลังใจผม ผมรู้สึกขอบคุณจริงๆ มันทำให้การที่ผมมาครั้งนี้ ผมอยากทำให้ไฟต์นี้เป็นไฟต์ที่สนุก 

 

‘Now or Never’ ที่รองเท้า เป็นคำที่มีความหมายพิเศษ?

 

Now or Never เป็นคำที่ผมชอบมากๆ ความหมายสำหรับผมคือทำตอนนี้ให้ดีที่สุด เพราะปัจจุบันสำคัญที่สุดสำหรับการสร้างสิ่งดีๆ ต่อไปในอนาคต 

 

จบไฟต์นี้ไปมีโอกาสอยากจะกลับมาเมืองไทยอีกไหม

 

แน่นอนครับ (ยิ้มสดใส)

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising