Prada Group สะท้อนความแข็งแกร่งอีกครั้งหลังประกาศรายได้ไตรมาส 3 ปี 2024 ซึ่งเห็นยอดขายของแบรนด์ Miu Miu เติบโตขึ้น 97% หากเทียบกับปี 2023 และเติบโตกระโดด 105% หากเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2024
ด้านแบรนด์ Prada เองก็เห็นยอดขายในไตรมาส 3 ปี 2024 เติบโตขึ้น 4% หากเทียบกับปี 2023 และเติบโตขึ้น 2% หากเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2024
รายได้โดยรวมของ Prada Group ช่วง 9 เดือนแรกก่อนการปิดบิลปี 2024 เพิ่มขึ้น 9% ในโซนเอเชีย-แปซิฟิก ส่วนในโซนยุโรปก็มีรายได้เติบโตขึ้น 16% ด้วยการจับจ่ายของทั้งลูกค้าในยุโรปและเหล่านักท่องเที่ยว ในขณะที่โซนอเมริกามียอดขายเพิ่มขึ้น 7% และโซนตะวันออกกลางมีรายได้เพิ่มขึ้น 24% โดยพื้นที่ที่ Prada Group มีรายได้ดีมาตลอดก็คือประเทศญี่ปุ่นที่ยอดขายเพิ่มขึ้น 40% ภายใน 9 เดือนแรก แม้ว่ายอดขายที่ญี่ปุ่นในไตรมาส 3 ปี 2024 จะลดลงเล็กน้อยก็ตาม
ช่วงที่ผ่านมาบริษัทสินค้าลักชัวรีแถวหน้ามากมายต้องเผชิญกับรายได้ที่ถดถอย ทั้ง LVMH, Kering, ZEGNA และ Ferragamo สืบเนื่องจากปัจจัยด้านปัญหาเศรษฐกิจและอื่นๆ ที่ทำให้ผู้คนให้ความสำคัญกับการซื้อสินค้าลักชัวรีน้อยลง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าสำคัญอย่างจีนแผ่นดินใหญ่ ยกเว้นเพียง Hermès ที่มียอดขายเพิ่มขึ้น 10% ในไตรมาส 3 ปี 2024 ด้วยการจับจ่ายของกลุ่มลูกค้า VIP ที่ยังคงเหนียวแน่นเช่นเดิม
ขณะเดียวกันแบรนด์ในเครือ Prada Group ยังคงได้รับความนิยมจากทั้งลูกค้า VIP และลูกค้าทั่วไปมากขึ้นเรื่อยๆ โดยทั้ง Prada และ Miu Miu ต่างก็ติดอันดับ Top 3 ของแบรนด์ที่ฮอตที่สุดจากการจัดอันดับของ Lyst Index ติดกันหลายเดือน ซึ่งการจัดอันดับนี้วัดจากการที่แบรนด์ได้รับการพูดถึงในโซเชียลมีเดีย การค้นหาแบรนด์ผ่านทางออนไลน์ของลูกค้า การเข้าไปดูโปรดักต์และยอดขาย และกิจกรรมระดับโกลบอลกับสถิติยอดเอ็นเกจเมนต์
Patrizio Bertelli ประธาน และกรรมการบริหาร Prada Group กล่าวว่า “เราดำเนินงานท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ท้าทายสำหรับทั้งห่วงโซ่คุณค่าของสินค้าลักชัวรี” โดย Miu Miu ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามด้วยการผสมผสานแฟชั่นกับแพลตฟอร์มศิลปะอื่นๆ เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าในระดับสากล ส่วน Prada ก็ยังคงท็อปฟอร์มในเรื่องของอัตลักษณ์ด้านครีเอทีฟและคุณค่าของแบรนด์ ซึ่งความสำเร็จของ Prada โดยรวมนั้นเกิดจากการผสมผสานหมวดหมู่สินค้าต่างๆ เข้าด้วยกัน บวกกับการส่งเสริมโปรดักต์เครื่องหนังกับคอลเล็กชัน Ready-to-Wear และรองเท้า
ภาพ: Miu Miu
อ้างอิง: