บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) แจ้งผลดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2566 ขาดทุนสุทธิ 647 ล้านบาท ถือเป็นการขาดทุนลดลง 82% ส่วนรายได้เติบโตพุ่งขึ้น 149% จากการเข้าพักโรงแรม และลูกค้าเข้าร้านอาหารมากขึ้น
แม้ว่า MINT ได้รายงานผลขาดทุน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการเป็นช่วงนอกฤดูการเดินทางในทวีปยุโรปตามที่ทางบริษัทได้คาดการณ์และประมาณการไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ผลขาดทุนดังกล่าวปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ถ้าเทียบจากผลขาดทุนจำนวน 3.6 พันล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2565
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- นักวิเคราะห์ชี้หุ้น MINT แนวโน้มปี 2566 ‘สดใส’ จากกลุ่มโรงแรมที่ฟื้นตัวในยุโรป
- MINT เผยปี 65 พลิกกลับมามีกำไร 4,286 ล้านบาท โต 132% จากธุรกิจโรงแรม-อาหารเริ่มฟื้น
- หุ้นไทย แย่สุดอันดับ 3 ของโลก! ‘ดร.นิเวศน์’ ชี้ 4 สาเหตุสำคัญ ด้าน ‘หมอพงศ์ศักดิ์’ แนะนักลงทุนค้นหา ‘ความสามารถที่ยั่งยืน’ ของตัวเอง
“แน่นอนว่าสร้างอานิสงส์ให้แนวโน้มและผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงที่เหลือของปี 2566 จะสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและอาจสูงเกินความคาดหมาย” ดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าว
พร้อมกล่าวต่อถึงกลยุทธ์และทิศการดำเนินธุรกิจต่อจากนี้ มุ่งให้ความสำคัญกับการยกระดับภาพลักษณ์แบรนด์เชิงรุก เริ่มจากธุรกิจโรงแรม จะเน้นเจาะเข้าสู่ตลาดใหม่ที่มีโอกาสในการเติบโตควบคู่กับการปรับกลยุทธ์การขาย การตลาด โซเชียลมีเดีย และโปรแกรมความภักดีเพื่อผลักดันให้โรงแรมเป็นที่รู้จักมากขึ้น
เช่นเดียวกับธุรกิจร้านอาหาร เดินหน้าฟื้นฟูภาพลักษณ์ของแบรนด์ ขณะที่กลุ่มธุรกิจร้านอาหารในจีนได้เปิดตัวเมนูใหม่ นับเป็นส่วนหนึ่งของแผนการยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ ซึ่งคาดว่าจะช่วยผลักดันยอดขายได้ต่อเนื่อง
สำหรับผลการดำเนินงานทางการเงินในไตรมาส 1 ปี 2566 ธุรกิจร้านอาหารมีรายได้รวม 7,728 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากจำนวนลูกค้าที่เพิ่ม และการเปิดสาขาใหม่ รวมถึงการกลับมาเปิดประเทศของจีนในเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ขณะที่ธุรกิจโรงแรมมีรายได้รวม 24,171 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) เติบโต 61% และยังสูงกว่าช่วงก่อนโควิดราว 12% เป็นผลจากการเดินทางที่สูงขึ้นทั่วโลก และกลยุทธ์การขึ้นราคาห้องพัก
ทั้งนี้บริษัทมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่ายภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) จากการดำเนินงานเติบโตมากกว่า 2 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 6,854 ล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้น (EBITDA Margin) อยู่ที่ 21.1% ดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 13.2%
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสภาวะอัตราดอกเบี้ยที่สูง MINT ยังคงมุ่งบริหารจัดการฐานะทางการเงิน โดยลดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นลงมาอยู่ที่ 0.94 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2566 จาก 1.17 เท่า ณ สิ้นปี 2565 จากความสำเร็จในการชำระคืนเงินกู้เดิมด้วยเงินกู้ใหม่ ซึ่งรวมถึงการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนจำนวน 1.05 หมื่นล้านบาทในระหว่างไตรมาส