วันนี้ (24 เมษายน) นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ นพ.อภิชาต วชิรพันธ์ ผู้อำนวยการสถาบันบำราศนราดูร ร่วมกันแถลงข่าวการตรวจโควิด-19 ในน้ำลาย
โดยให้ข้อมูลพร้อมรายละเอียดระบุว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสถาบันบำราศนราดูร ได้ร่วมกันพัฒนาวิธีการตรวจหาโควิด-19 ในน้ำลาย ซึ่งวิธีการตรวจดังกล่าว โรงพยาบาลรามาธิบดีได้ทำการวิจัย พบว่า ได้ผลแม่นยำ มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับวิธีการตรวจจากสารคัดหลั่งหลังจมูกและคอ หรือวิธีการตรวจหาสารพันธุกรรม (RT-PCR) ซึ่งวิธีการตรวจหาเชื้อในน้ำลายนี้ได้รับการยอมรับในหลายประเทศ ส่วนข้อดีของตรวจหาโควิด-19 ในน้ำลาย คือ ราคาถูก เก็บตัวอย่างง่ายกว่า สามารถเก็บได้ด้วยตัวเอง ทำให้บุคลากรปลอดภัยมากขึ้น ไม่ต้องใช้หรือลดการใช้ชุดป้องกัน PPE
โดยกระทรวงสาธารณสุขใช้การตรวจหาโควิด-19 ในน้ำลาย ในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก และการค้นหาผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการในชุมชน ทำให้ค้นหาผู้ป่วย/ผู้ติดเชื้อได้อย่างรวดเร็ว นำเข้าสู่ระบบการรักษา ป้องกันการแพร่ระบาดของโรค สามารถเริ่มดำเนินการได้ทันทีทุกพื้นที่ที่มีการระบาด ชุมชนแออัด หรือจุดเข้า-ออกของประเทศ
ขณะที่ผู้เข้าเกณฑ์สอบสวนโรคหรือ PUI คือ มีไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจที่มาตรวจรักษาในสถานพยาบาล จะใช้วิธีเก็บสิ่งส่งตรวจจากสารคัดหลั่งหลังจมูกและคอเป็นหลัก
สำหรับวิธีการเก็บน้ำลาย สามารถนำกระป๋องไปเก็บเองได้ที่บ้าน โดยต้องล้างมือให้สะอาด เทอาหารสำหรับเก็บตัวอย่างไวรัสลงในกระป๋องเก็บน้ำลาย ขากน้ำลายที่อยู่ในลำคอส่วนลึก เหมือนขากเสมหะ ปิดฝากระป๋องพันด้วยพาราฟิล์ม ใส่ถุงซิปล็อก 3 ชั้น และนำส่งห้องปฏิบัติการภายใน 5 ชั่วโมง ทั้งนี้ จะต้องไม่แปรงฟัน ใช้น้ำยาบ้วนปาก ดื่มน้ำ หรือเคี้ยวหมากฝรั่ง ก่อนเก็บตัวอย่างน้ำลาย
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล