วันนี้ (19 กุมภาพันธ์) มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส .บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่าล้มเหลวบริหารเศรษฐกิจและปากท้องประชาชน ล้มเหลวแก้ปัญหาโควิด-19 ล้มเหลวแก้ปัญหาคอร์รัปชัน และล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดิน รวมทั้งบันได 3 ขั้นการเสื่อมทรุดทางเศรษฐกิจ ได้แก่ วันที่ 20 พฤษภาคม 2557 รัฐประหาร เราถูกต่อต้านจากสังคมโลก, วันที่ 1 มกราคม 2559 เปิดเสรีอาเซียน ไทยปรับตัวไม่ทัน และวันที่ 3 เมษายน 2563 นายกฯ สั่งปิดประเทศไทยจากสถานการณ์โควิด-19
มิ่งขวัญได้กล่าวถึงกรณีที่สหรัฐอเมริกาตัดสิทธิทางการค้า (GSP) 2 ครั้ง มูลค่าความเสียหาย 66,000 ล้านบาท คิดเป็น 45% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ถูกตัด GSP และเตรียมขึ้นภาษี AD (คือภาษีที่เรียกเก็บจากผู้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ) ยางรถยนต์ โดยเพิ่มจาก 13.25-22.21% เป็น 106-207% โดยรอการตัดสินใจวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 ถามว่าเรื่องไม่ผิดกฎหมาย แต่การบริหารประเทศโดยใกล้ชิดกับจีนมากไปทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ เพราะสหรัฐอเมริกากับจีนทำสงครามการค้ากัน แต่เราอยู่ตรงกลางและวางตัวไม่ดี สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ
มิ่งขวัญยังอ้างตัวเลขว่า ไทยขาดดุลการค้าจีน 6.4 แสนล้านบาท แต่ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐฯ ประมาณ 6 แสนล้านบาท ดังนั้น รัฐบาลต้องวางจุดยืนระหว่างประเทศให้ถูกต้อง ขณะที่การค้าออนไลน์มูลค่ากว่า 4 ล้านล้านบาทต่อปี สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทย เพราะคนต่างด้าวเข้ามาครอบครองธุรกิจออนไลน์ รัฐบาลไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้ ไทยไม่สงวนอาชีพให้คนไทย และสินค้าจากจีนทะลักเข้าไทย
มิ่งขวัญระบุด้วยว่า การค้าออนไลน์ต้องเป็นอาชีพสงวนของคนไทย โดยในอดีตรัฐบาลออกกฎหมายให้อาชีพทำนา อาชีพขับสามล้อเป็นอาชีพสงวนของคนไทย ตอนนี้การค้าออนไลน์ต้องเป็นอาชีพสงวนของคนไทย เพราะถ้าไม่ทำเช่นนี้คนไทยจะไม่เหลืออะไร ขณะที่วันที่ 1 มกราคม 2559 เปิดเสรีอาเซียน เดิมประเทศเวียดนาม เมียนมา ลาว เขาจะไม่ทำการค้าขายด้วย เพราะถือเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ แต่การเปิดเสรีอาเซียนทำลายข้อจำกัดนั้น ทุกประเทศในอาเซียนมีสถานะเท่ากัน ดังนั้น เมื่อค่าแรงขั้นต่ำประเทศเหล่านั้นถูกกว่า ทำให้ไทยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไม่ได้ มิเช่นนั้นธุรกิจทั้งหมดของไทยจะไหลออกนอกประเทศ สวนทางกับค่าครองชีพในประเทศไทยที่ไม่มีการควบคุม โดยยกตัวอย่างราคาข้าวกะเพราไข่ดาว ตั้งแต่ปี 2557-2563 เพิ่มขึ้น 133.33% แต่ค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้น 12% ดังนั้น เท่ากับว่ารัฐบาลไม่ดูแลปากท้อง และค่าครองชีพของคนไทยให้สมดุลกับรายได้และค่าจ้างแรงงาน
“ส่วนสินค้าเกษตรกรรม เช่น ทุเรียนที่เป็นราชาผลไม้ไทย แต่วันหนึ่งมาเลเซียพัฒนาทุเรียนพันธุ์ใหม่ชื่อมูซานคิง แต่เขาทำการตลาดเป็น ทำให้เขาขายได้แพงกว่าทุเรียนหมอนทอง 3 เท่าตัว นี่คือตัวอย่างของรัฐบาลที่เก่งหรือไม่เก่งแตกต่างกันอย่างไร ขณะที่การส่งออกข้าวปี 2563 อินเดียและเวียดนามเป็นที่ 1 และ 2 ของโลก ส่วนไทยตกลงมาเป็นที่ 3 ของโลก บอกเลยว่าถ้าเราไม่ดูแลตลาดดีๆ ปีหน้าเราตกมาเป็นที่ 4 และจีนแซงขึ้นไปเป็นที่ 3 สาเหตุเพราะไทยเกิดการครอบงำตลาด และล้งจีนเข้ามาจัดการ” มิ่งขวัญกล่าว
มิ่งขวัญยังกล่าวถึงมาตรการช่วยเหลือเยียวยาที่ต้องให้โหลดแอปพลิเคชันเป๋าตัง แต่มีประชาชนจำนวนมากที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ต้องลำบากไปต่อคิวลงทะเบียนที่ธนาคารกรุงไทย ปรากฏภาพตามสื่อมากมาย ส่วนประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี เขาเยียวยาด้วยการโอนเงินเข้าบัญชีประชาชนโดยตรง ส่วนที่ประเทศไทยทำไมต้องมาไฮเทคกันในเรื่องนี้ แต่เรื่องการค้าออนไลน์ขายสินค้าทั่วไปไม่มีความไฮเทค ปล่อยให้เขาขายข้ามหัวเราไปมา
สำหรับหนี้สาธารณะคงค้าง 8.1 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 52.3 ของ GDP เทียบเท่างบประมาณแผ่นดิน 2 ปีครึ่ง ซึ่งตรงนี้เห็นความหายนะรออยู่แล้ว ขณะที่หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงสุดในรอบ 18 ปี จ่อทะลุ 90% ของ GDP หรือเฉลี่ย 4.8 แสนบาทต่อครัวเรือน ถ้าท่านยังบริหารงานกันแบบปกติ ยังอ้างโน่นอ้างนี่ ซื้อโน่นซื้อนี่ เราจะอยู่กันได้หรือครับ
“หนี้ครัวเรือนสูงที่สุดขนาดนี้ ต่อครัวเรือนท่านเป็นหนี้อยู่ 480,000 บาทต่อครัวเรือน เราอยู่กันได้หรือครับถ้าท่านบริหารงานแบบปกติ ท่านยังตัดสินใจซื้อโน่นซื้อนี่ อ้างโน่นอ้างนี่ บางเรื่องมันไม่ควรจ่ายมันต้องหยุดนะครับ” มิ่งขวัญกล่าว
ในช่วงท้าย มิ่งขวัญกล่าวด้วยว่า รถยนต์กำลังจะเปลี่ยนจากเครื่องสันดาปไปเป็นรถยนต์ไฟฟ้า แต่เรากำลังจะตกขบวนของรถไฟฟ้าในโลก แต่นายกฯ เจรจาได้หรือเปล่า ถ้าทำได้การลงทุนมหาศาลจะมาอยู่ที่เรา ส่วนเรื่องการวางตัวไม่เป็น ไปใกล้ชิดกับจีน ซึ่งญี่ปุ่นไม่ถูกกับจีน แต่ไทยพึ่งพิงการลงทุนในอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นมาตลอด และญี่ปุ่นกำลังมีแนวโน้มย้ายฐานการผลิตไปเวียดนาม ซึ่งวันนั้นคือวันตอกฝาโลงประเทศไทย
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์