วันนี้ (24 มิถุนายน) จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์สาธารณรัฐอิสลามอิหร่านที่กระทบต่อราคาและปริมาณน้ำมันของไทย และการประชุมมาตรการเตรียมการนำคนไทยออกจากพื้นที่ตะวันออกกลาง ร่วมกับรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประเมินสถานการณ์การเตรียมความพร้อมด้านพลังงาน
นายกรัฐมนตรีห่วงใยสถานการณ์เหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างประเทศอิสราเอลกับอิหร่าน ซึ่งมีการปิดน่านฟ้าและระบบขนส่งออกนอกประเทศ โดยเฉพาะที่บริเวณช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งถือเป็นช่องแคบสำคัญที่ส่งออกน้ำมันจากตะวันออกกลาง ซึ่งประเทศไทยได้สำรองน้ำมัน มีระยะเวลาประมาณ 2 เดือน
จิรายุกล่าวอีกว่า ที่ประชุมฯ ได้หารือถึงการนำเข้าพลังงานจากแหล่งอื่นๆ โดยให้กระทรวงพลังงานกลับไปสรุปเพื่อเตรียมความพร้อม หากกรณีเกิดสงครามยาวนานระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เชิญผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศรายงานสถานการณ์ในประเทศอิสราเอลและอิหร่าน ซึ่งขณะนี้ได้มีการเตรียมความพร้อมไว้เรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะที่ประเทศอิหร่าน ซึ่งมีคนไทยอยู่ประมาณ 300 คน ส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่มีครอบครัวแต่งงานอยู่ที่กรุงเตหะราน ส่วนแรงงานมีอยู่ประมาณ 30 คน หากมีการแจ้งความจำนงก็พร้อมจะพากลับประเทศไทย
ส่วนประเทศอิสราเอลมีคนไทยอยู่ประมาณ 40,000 กว่าคน ซึ่งมีการแจ้งความประสงค์เดินทางกลับจากอิสราเอลประมาณ 100 คน ส่วนที่เหลือยังขอรอดูสถานการณ์ แต่ได้อพยพไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยแล้ว
“นายกรัฐมนตรีขอให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดทั้งสองประเทศ และเตรียมพร้อมอพยพคนไทยทันที เมื่อสถานการณ์รุนแรง โดยให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้กำหนดว่าจะอพยพหรือไม่ โดยให้มีการประเมินสถานการณ์รายชั่วโมง” จิรายุกล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนหน้าเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศได้สำรวจเส้นทางการเดินทางตามแนวชายแดนของทั้งสองประเทศเพื่อมาต่อเครื่องบิน เนื่องจากน่านฟ้าของทั้งสองประเทศในขณะนี้ยังปิดอยู่ไม่มีการเดินอากาศในขณะนี้