×

The Saint กาลครั้งหนึ่งของ… ไมเคิล โอเวน (อดีต) เด็กมหัศจรรย์ที่โลกลืม

14.09.2025
  • LOADING...
michael-owen-liverpool-balon-dor

กลางทศวรรษที่ 90 เป็นช่วงเวลาที่แฟนลิเวอร์พูลเริ่มกลับมามีความหวังอีกครั้งที่จะทวงคืนความยิ่งใหญ่กลับมา หลังจากที่พบเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบากจากการทำทีมที่ล้มเหลวของแกรมม์ ซูเนสส์ อดีตยอดมิดฟิลด์ในยุคทอง

 

รอย เอแวนส์ นำฟุตบอลที่สวยงามกลับมาใต้ปรัชญาการเล่น “Pass & Move” และกำเนิดเหล่านักเตะรุ่นใหม่ที่ก้าวเข้ามาเป็นขวัญใจของผู้คนมากมายไม่ว่าจะเป็น สตีฟ แม็คมานามาน, เจมี เรดแนปป์, ร็อบ โจนส์, เดวิด เจมส์, สแตน คอลลีมอร์ รวมถึง ร็อบบี ฟาวเลอร์ หัวหอกซ้ายมฤตยูที่ได้รับการยกย่องและคาดหวังว่านี่แหละคือคนที่จะพาลิเวอร์พูลกลับสู่บัลลังก์ของพวกเขาอีกครั้ง

 

แต่ในห้วงเวลานั้นเองก็เริ่มมีเสียงกระซิบกระซาบตามหน้าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นไปจนถึงหนังสือพิมพ์ในระดับประเทศว่าลิเวอร์พูลได้ค้นพบ “เคนนี ดัลกลิช คนใหม่” แล้วซึ่งเป็นเด็กที่อยู่ในทีมเยาวชนของพวกเขาเอง ที่ยิ่งทำให้เดอะ ค็อปตื่นเต้นกันเข้าไปใหญ่

 

แล้ว “เด็กในคำทำนาย” คนนี้ก็กลายเป็นความจริง

 

ไมเคิล เจมส์ โอเวน กองหน้าดาวรุ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ลิเวอร์พูลสร้างขึ้นมา ไม่เพียงแค่แจ้งเกิดได้อย่างรวดเร็วในทีมชุดใหญ่ แต่ใช้เวลาน้อยนิดในการไปสู่การเป็นเจ้าของลูกฟุตบอลทองคำ “บัลลงดอร์” ในปี 2001

 

เรื่องราวที่ทุกคนเหมือนจะลืมไปหมดแล้ว…

 

ไมเคิล โอเวน

 

บทสนทนาที่จริงใจแบบไม่ผ่าน “ตัวกรอง” ใดๆ ระหว่างริโอ เฟอร์ดินานด์ ในฐานะผู้ดำเนินรายการ “Rio Presents” กับเพื่อนเก่าอย่าง ไมเคิล โอเวน เมื่อช่วงสัปดาห์ก่อน นำไปสู่บทสนทนาที่น่าสนใจสำหรับแฟนฟุตบอลจำนวนไม่น้อยที่ “เกิดทัน” ในช่วงเวลานั้น

 

ไม่ว่าจะเป็นรางวัลบัลลงดอร์ ที่โอเวน นำมาวางโชว์ให้เฟอร์ดินานด์ ที่มาเยือนถึงบ้านได้ชมอย่างใกล้ๆ แต่ห้ามสัมผัสเพราะคนที่จะสัมผัสได้นั้นสงวนสิทธิ์สำหรับผู้ที่ได้รับรางวัลตัวจริงเท่านั้น

 

หรือบทสนทนาที่ย้อนเวลากลับไปถึงวันเก่าๆ โรงเรียนฟุตบอลลีลล์แชลล์ (Lilleshall) สถานที่ศึกษาวิชาลูกหนังที่ดีที่สุดของอังกฤษในช่วงเวลานั้นจนได้รับการเปรียบเปรยว่าเป็นดัง “ฮ็อกวอตส์” ของวงการฟุตบอลอังกฤษ ซึ่งยอดนักเตะอย่างเฟอร์ดินานด์เองก็ยังไม่ได้เข้าไปเรียน แต่โอเวนได้

 

และแน่นอนกับสิ่งที่มีการพูดถึงมากเพราะมาจากถ้อยคำของอดีตกองหน้าหมายเลขหนึ่งของทีมชาติอังกฤษ ที่แอบน้อยใจว่าผู้คนลืมกันไปหมดแล้วถึงความยอดเยี่ยมในอดีตของเขา จดจำกันเพียงแต่ภาพช่วงวันเวลาที่ตกต่ำโดยเฉพาะในช่วงท้ายกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ซึ่งเป็นสิ่งที่แฟนลิเวอร์พูลจำนวนมากยังไม่ให้อภัย) และสโมสรสุดท้ายในชีวิตกับสโต๊ค ซิตี

 

โอเวนยอดเยี่ยมขนาดนั้นเชียวหรือ? 

 

คำตอบจากใจคือการได้แต่พยักหน้าเบาๆ

 

ไมเคิล โอเวน

 

ไมเคิล เจมส์ โอเวน เมื่อครั้งเป็นนักเตะดาวรุ่งนั้นถือว่าเป็นสตาร์ในระดับเกมลูกหนังเยาวชนของอังกฤษ ชนิดที่ใครที่อยู่ในวงการบอลเด็กเมืองผู้ดีต้นยุค 90 ต้องเคยได้ยินชื่อเด็กคนนี้อย่างแน่นอน

 

เพราะนี่คือนักเตะระดับ ‘ปีศาจ’ ที่ทุบสถิติการทำประตูเป็นว่าเล่น ยกตัวอย่างเช่น การเล่นให้ทีมเยาวชนโมลด์ อเล็กซานดรา โดยลงเล่นในทีมรุ่นอายุต่ำกว่า 10 ปีตั้งแต่อายุเพียงแค่ 8 ขวบ ซึ่งการที่เล่นข้ามรุ่นได้เพราะครูพละไปขอร้องฝ่ายจัดการแข่งขันให้อนุญาตเนื่องจากเขาเก่งเกินรุ่นเดียวกันไปเยอะมากแล้ว

 

โอเวน ทำประตูได้ตั้งแต่เกมแรกกับโมลด์ อเล็กซานดรา ก่อนจะยิงไปทั้งหมด 34 ประตูจาก 24 นัด

 

ในระดับโรงเรียน เขาทำลายสถิติของเอียน รัช ในทีมโรงเรียนประถม ดีไซด์ แอเรีย รุ่นอายุต่ำกว่า 11 ปีที่ยืนยงมากว่า 20 ปี โดยทำไป 97 ประตู มากกว่าตำนานวีรบุรุษแห่งแอนฟิลด์ถึง 25 ประตู ในตอนที่อายุเพียง 9 ขวบ (และสวมปลอกแขนกัปตันทีมด้วย)

 

พออายุได้ 12 ขวบ เขาสามารถเลือกที่จะเซ็นสัญญาเป็นนักเรียนทุนของสโมสรได้ และทำให้มีสโมสรดังจากทั่วประเทศพยายามติดต่อทาบทามเขาอย่างมากมายตั้งแต่เหนือจรดใต้ ไม่ว่าจะเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งไบรอัน คิดด์ มือขวาของอเล็กซ์ เฟอร์กูสันถึงกับมาดูฟอร์มด้วยตัวเอง หรือเชลซีและอาร์เซนอล

 

แต่ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่ประสบความสำเร็จ ด้วยจดหมายน้อยของสตีฟ ไฮเวย์ อดีตตำนานนักเตะผู้ผันตัวเองไปดูแลทีมเยาวชนของลิเวอร์พูลที่รับปากว่าจะดูแลเขาอย่างดีที่สุด และทำให้ เทอร์รี โอเวน พ่อของไมเคิล ซึ่งเคยเป็นอดีตนักเตะของเชสเตอร์ และเอฟเวอร์ตัน (แน่นอนว่าพวกเขาคือเอฟเวอร์โตเนียน) และตัวเจ้าหนูมหัศจรรย์เองตอบตกลงที่จะรับข้อเสนอของลิเวอร์พูล

 

ก่อนที่จะได้รับการแนะนำจากทีมให้เข้าเรียนที่ลีลล์แชลล์ ในตอนอายุ 14 ปี ซึ่งการได้ไปโรงเรียนฟุตบอลที่ดีที่สุดของอังกฤษในเวลานั้น (ปัจจุบันไม่มีแล้ว) เป็นหนึ่งในการสร้างรากฐานที่สำคัญที่ทำให้โอเวน ก้าวไปสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพ

 

เขากลายเป็นดาวเด่นในทีมชาติชุดเยาวชน สร้างสถิติยิง 28 ประตูจากการลงสนาม 20 นัด ให้กับทีมชาติอังกฤษชุดยู-15 และยู-16 ส่วนในระดับสโมสรกับลิเวอร์พูล เขาก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกัน สามารถไต่ระดับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

จนเริ่มมีการพูดกันว่าที่แอนฟิลด์มีเด็กมหัศจรรย์คนใหม่ที่กำลังจะถือกำเนิดอีกคน

 

ไมเคิล โอเวน

 

เสียงเล่าเสียงลือนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ ดังสนั่นพสุธากัมปนาท เมื่อโอเวน นำลิเวอร์พูลชุดเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี คว้าแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ สมัยแรกของสโมสรได้ในช่วงเดือนเมษายน 1996 ด้วยการเอาชนะเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ซึ่งก็มียอดดาวรุ่งอย่าง แฟรงค์ แลมพาร์ด และริโอ เฟอร์ดินานด์อยู่ในทีม

 

ถึงตอนนั้นทุกคนอยากเห็นโอเวนได้โอกาสลงสนามให้กับทีมชุดใหญ่แล้ว ซึ่งรอย เอแวนส์เองก็ส่งสัญญาณว่าพร้อมจะเปิดประตูให้เช่นกัน โดยเซ็นสัญญาอาชีพฉบับแรกในวันคล้ายวันเกิดอายุครบรอบ 17 ปี ก่อนที่จะถูกดันขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่

 

แต่ไม่ว่าผู้คนจะแซ่ซ้องขนาดไหนโอเวนก็ต้องอดทนรอคอยโอกาสของตัวเองตลอดทั้งปี จนกระทั่งถึงเกมนัดรองสุดท้ายของฤดูกาล 1996/97 ซึ่งลิเวอร์พูลไปเยือนวิมเบิลดัน ที่สนามเซลเฮิร์สท์ ปาร์ค ก็เริ่มมีการพูดกันว่าอาจจะเป็นโอกาสที่เหมาะสม The Guardian ถึงกับรายงานข่าวว่า “Anfield prodigy on standby” 

 

ก่อนที่เอแวนส์จะส่งเด็กในคำทำนายของทุกคนลงสนามจริงๆในช่วงครึ่งเวลาหลัง และเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เมื่อโอเวนสามารถทำประตูได้ทันทีในเกมประเดิมสนามหลังได้บอลแทงทะลุช่องจาก สติก อิงเก บียอร์นบี แบ็กซ้ายจอมเปิดก่อนจะชิงจังหวะสลัดกับดักล้ำหน้าหลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษ เปิดลำตัวและเลือกยิงเข้าไปอย่างเยือกเย็น

 

ประตูนี้อาจจะไม่ทำให้ลิเวอร์พูลรอดพ้นจากความปราชัยได้ พวกเขาแพ้วิมเบิลดัน 2-1 (เจสัน ยูลล์ และดีน โฮลส์เวิร์ธ ทำประตูให้เดอะ ดอนส์นำไปก่อน 2-0) แต่อย่างน้อยมันก็เป็นประกายไฟในวันฝนพรำที่ลิเวอร์พูลในยุคของอีแวนส์ ผลงานยังไม่ดีขึ้นจนถึงขั้นขึ้นมาลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก (ซึ่งในยุคนั้นยังเรียกกันว่าพรีเมียร์ชิพ) ได้

 

เพียงแต่สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดคือประตูที่เกิดขึ้นในวันนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นของช่วงเวลามหัศจรรย์

 

แม้มันจะแสนสั้นก็ตาม

 

ฤดูกาล 1997/98 โอเวน (หรือ Midget ของเพื่อนๆ) ได้กลายเป็นกองหน้าตัวหลักของลิเวอร์พูลที่หลายคนคาดหวังว่า เขาจะจับคู่กับร็อบบี ฟาวเลอร์ ซึ่งน่าจับตามองเพราะต่างฝ่ายต่างก็เป็นสุดยอดดาวรุ่งพรสวรรค์ไม่แพ้กัน

 

ไมเคิล โอเวน

 

เพียงแต่โชคชะตาจะส่งให้โอเวนมากกว่า เมื่อฟาวเลอร์ เริ่มประสบปัญหาอาการบาดเจ็บ รุ่นน้องอย่างเขาจึงได้โอกาสในการเป็นตัวหลักแทนและสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเกินกว่าที่ใครจะคิดเพราะสามารถคว้ารางวัล “รองเท้าทองคำ” หรือดาวซัลโวประจำฤดูกาลมาครองได้ด้วยวัยเพียงแค่ 18 ปีเท่านั้น กับผลงานในพรีเมียร์ลีกจำนวน 18 ประตู​ (เป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ทำได้จนถึงปัจจุบัน)

 

ผลงานดังกล่าวยังทำให้เขาได้รับรางวัลผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีจาก PFA และเป็นอันดับ 3 ในรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของ PFA รองจาก เดนนิส เบิร์กแคมป์ และโทนี อดัมส์ ซึ่งพาอาร์เซนนอลคว้าดับเบิลแชมป์ได้ในฤดูกาลนั้น

 

ก่อนที่ความบ้าคลั่งจะปะทุถึงขีดสุดในฟุตบอลโลก 1998 เมื่อโอเวน ซึ่งได้โอกาสจากเกล็นน์ ฮอดเดิล เก็บประสบการณ์ในเกมอุ่นเครื่องได้ไม่นาน และถูกเรียกตัวติดทีมไปฟุตบอลโลกที่ประเทศฝรั่งเศสด้วย 

 

โอเวน ได้โอกาสลงเป็นตัวสำรองในนัดแรกที่พบกับตูนิเซีย ก่อนจะได้โอกาสในเกมที่ 2 โรมาเนียที่แม้ทีมจะแพ้ 2-1 แต่เจ้าหนูมหัศจรรย์ทำประตูได้ ทำให้เป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ยิงประตูได้ใน “ฟรองซ์ 98” ด้วยวัย 18 ปี 190 วัน และเกือบจะยิงตีเสมอได้ด้วยหากลูกยิงไกลไม่ชนเสาในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ

 

ผลงานดังกล่าวทำให้โอเวนต้องลงเป็นตัวจริงตามคำเรียกร้องของแฟนๆในเกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มที่พบกับโคลอมเบีย ที่สุดท้ายอังกฤษผ่านด่านได้และได้เข้าสู่รอบน็อคเอาต์ ก่อนจะพบกับอาร์เจนตินา หนึ่งในตัวเต็งของการแข่งขันในรอบ 16 ทีมสุดท้ายในเกมที่สร้างตำนานให้กับตัวเอง

 

โดยในเกมดังกล่าวแม้ว่าอังกฤษจะพ่ายแพ้ (และเดวิด เบ็คแฮม เป็นจำเลยของประเทศ) แต่โอเวนสร้างชื่อให้กับตัวเองได้ด้วยการฉีกแนวรับของแชมป์โลก 2 สมัยขาดวิ่น ทั้งเรียกจุดโทษได้ และทำประตูให้ตัวเองได้ด้วยการสปีดเอาชนะโรแบร์โต อยาลา และโฮเซ ชาม็อต ก่อนยิงผ่านคาร์ลอส โรอา ผู้รักษาประตูเข้าไปจากนอกกรอบเขตโทษ

 

ผลงานในฟุตบอลโลกและผลงานในฤดูกาลมหัศจรรย์กับลิเวอร์พูลทำให้เขาได้รางวัลนักฟุตบอลแห่งปีอันดับ 3 จากการประกาศของ FIFA และเป็นอันดับ 4 ในรางวัลบัลลงดอร์ในช่วงปลายปีเดียวกัน

 

สิ่งที่น่าเศร้าคือช่วงเวลาความมหัศจรรย์ของโอเวนนั้นสั้นยิ่งนัก

 

ไมเคิล โอเวน

 

การใช้ร่างกายมาอย่างหนักตั้งแต่เด็กโดยไม่ได้รับการดูแลทะนุถนอมอย่างที่ควรจะเป็น ต่อให้จิตใจของเขาจะโตเกินตัว แต่ร่างกายของโอเวนก็ไม่ต่างอะไรจากเด็กคนอื่นๆทำให้วันหนึ่งก็ถึงเวลาที่ทุกอย่างจะระเบิดออกมา

 

ในเกมพรีเมียร์ลีกกับลีดส์ ยูไนเต็ดในเดือนเมษายนปี 1999 โอเวน เกิดเสียหลักล้มหน้าคะมำในจังหวะสปีดไปเอาบอล ซึ่งแม้ในเหตุการณ์จริงจะเหมือนการสะดุดยอดหญ้าล้ม แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นเพราะเขาเอามือข้างหนึ่งกุมที่กล้ามเนื้อด้านหลังโคนขา (แฮมสตริง) ส่วนมืออีกข้างปิดใบหน้าด้วยความเจ็บปวด

 

กล้ามเนื้อมัดสำคัญที่ทำให้เขาเป็น ‘จรวด’ ในสนามฉีกขาดสะบั้น และจำเป็นต้องพักการเล่นนานถึง 5 เดือน (ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเป็นดาวซัลโวอยู่ดีในฤดูกาลนั้น)

 

สิ่งที่โอเวนไม่ได้บอกและไม่มีใครรู้ในตอนนั้นคือเขารู้ตัวตั้งแต่วินาทีนั้นแล้วว่าเขาจะไม่มีวันกลับมาเป็นคนเดิมอีกแล้ว เพราะอาการบาดเจ็บมันได้พรากสมบัติล้ำค่าที่ฟ้าประทานมาให้เขาแค่คนเดียวไปเป็นที่เรียบร้อย

 

ถึงอย่างนั้นโอเวนก็ยังกลับมาเป็นนักเตะแถวหน้าของโลกอยู่เหมือนเดิม เขาเป็นเบอร์หนึ่งของลิเวอร์พูลอย่างถาวร (ขณะที่ฟาวเลอร์ตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย) จับคู่กับเอมิล เฮสกีย์ ทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติอังกฤษ 

 

ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการพา ‘หงส์แดง’ คว้าเทรเบิลแชมป์ได้ในฤดูกาลมหัศจรรย์ 2000/01 ที่กวาดแชมป์ลีก คัพ, เอฟเอ คัพ และยูเอฟา คัพ โดยเฉพาะในเกมเอฟเอ คัพ เขาคือคนทำ 2 ประตูช่วยให้ลิเวอร์พูลที่เจียนอยู่เจียนไปตลอดทั้งเกมพลิกกลับมาเอาชนะอาร์เซนอลได้อย่างเหลือเชื่อ

 

ไมเคิล โอเวน

 

ผลงานนั้นทำให้โอเวนได้รับการโหวตจากผู้สื่อข่าวที่น่าเชื่อถือในวงการฟุตบอลยุโรปให้เป็นเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ 2001 เหนือสุดยอดนักเตะระดับตำนานทุกคน แม้มันจะเป็นบัลลงดอร์ที่แฟนฟุตบอลหลายคนฉงนว่า ทำไมโอเวนถึงได้ก็ตาม

 

จุดนั้นอาจจะนับว่าเป็นจุดสูงสุดในชีวิตของเขา (ในระดับทีมชาติก็ยิงแฮตทริกใส่เยอรมนีได้ถึงบ้าน) แล้ว เพราะหลังจากนั้นร่างกายของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปโดยที่คนภายนอกอาจจะไม่ทันได้สังเกต

 

ถึงแม้ว่าในปี 2004 โอเวนจะได้โอกาสย้ายไปอยู่กับเรอัล มาดริด แต่มันกลับเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด เพราะคิดว่าถ้าไม่ประสบความสำเร็จจะได้กลับมาลิเวอร์พูลแบบง่ายๆ ทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามแผน เพราะนอกจากจะยึดตำแหน่งที่เบร์นาเบวไม่ได้ เขาก็ไม่ได้กลับมาลิเวอร์พูลด้วย เมื่อนิวคาสเซิลยื่นข้อเสนอให้มากกว่าที่ลิเวอร์พูลจะยอมสู้ราคา

 

โอเวนจึงไม่มีวันได้กลับมาแอนฟิลด์ในฐานะนักเตะของทีมอีก ก่อนจะเริ่มบาดเจ็บหนักและเรื้อรัง (เอ็นไขว้เข่าขาดในฟุตบอลโลก 2006) และทำลายชื่อเสียงของตัวเองด้วยการเลือกย้ายไปแมนฯ ยูไนเต็ด ตามคำเชิญชวนของอเล็กซ์ เฟอร์กูสันที่ทำให้เดอะ ค็อปตัดสายสัมพันธ์กับเขาจนถึงวันนี้ และสโมสรสุดท้ายในชีวิตคือสโตค ซิตี ที่อยู่ได้เพียงไม่นานก็ตัดสินใจอำลาวงการ

 

ไมเคิล โอเวน

 

เรื่องราวของโอเวน เป็นหนึ่งในเรื่อง “What if” ที่น่าเสียดายไม่เฉพาะสำหรับแฟนลิเวอร์พูล หรือแฟนบอลอังกฤษ

 

ถ้ากล้ามเนื้อไม่ฉีกในวันนั้น

 

ถ้าเขาได้รับการดูแลดีกว่านี้ในช่วงวัยรุ่น ได้มีโอกาสพัฒนาร่างกายและเทคนิคการเล่นที่สำคัญบางอย่าง ที่จะไม่ทำให้เป็นแค่กองหน้าที่มีแต่ความเร็วชิงจังหวะเอาชนะคู่แข่ง

 

ถ้าเขาตัดสินใจอยู่กับลิเวอร์พูลต่อไป 

 

หรือถ้าเขาตัดสินใจไม่เลือกย้ายไปแมนฯ ยูไนเต็ด

 

เพียงแต่สำหรับโอเวนแล้ว เขายอมรับผลของการตัดสินใจทุกอย่างไม่ว่ามันจะร้ายหรือดีแค่ไหนก็ตาม

 

เพราะต่อให้มันจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผู้คนอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ แต่สำหรับเขาแล้ว เขายังจดจำตัวเองในช่วงเวลาที่ดีที่สุดได้อยู่เสมอ

 

และเจ้าตัวคงจะดีใจถ้ายังมีคนที่จดจำเขาในวันนั้นได้

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising