กระแสโลกเสมือนดิจิทัลหรือ Metaverse เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งกระแสนี้ถูกนำโดยบริษัทโซเชียลมีเดียระดับโลกอย่าง Facebook โดย มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ตั้งเป้าว่าจะดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาใช้งานในโลก Metaverse นี้ให้ได้ถึง 1 พันล้านคน ภายใน 10 ปีข้างหน้า
Metaverse เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงในนิยายวิทยาศาสตร์มานานหลายทศวรรษ ไม่ว่าจะเป็นนวนิยายอย่าง Snow Crash และ Ready Player One ซึ่งตัวละครในเรื่องจะใช้ชีวิตอยู่ในโลกเสมือนดิจิทัลเป็นหลัก และตัวละครในโลกเสมือนนั้นจะถูกบังคับจากโลกแห่งความจริงผ่านอุปกรณ์ล้ำสมัยต่างๆ อย่างแว่น VR
นอกจากนวนิยายแล้ว Metaverse ยังมีบทบาทในวิดีโอเกมอย่าง Roblox และ Fortnite เช่นกัน ซึ่ง Facebook คาดการณ์ว่าสมาร์ทโฟนกำลังถึงขีดจำกัดในการสร้างประสบการณ์ในโลกดิจิทัลที่สมจริง และผู้คนกำลังกระหายที่จะก้าวไปใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากกว่าเดิมอย่าง Metaverse
โดยซักเคอร์เบิร์กบอกกับสำนักข่าวด้านเทคโนโลยีอย่าง The Verge ว่า “จากแค่วิดีโอคอลกันธรรมดา คุณสามารถพบปะกันได้เป็นตัวเป็นตนในโลกเสมือนจริง และจากแค่ที่คุณสามารถดูคอนเทนต์ต่างๆ บนอินเทอร์เน็ตได้เพียงอย่างเดียว คุณสามารถเข้ามาอยู่ในคอนเทนต์และเป็นส่วนหนึ่งของมันได้”
โดยผู้ที่ดูแลโปรเจกต์นี้คือ แอนดรูว์ บอสเวิร์ธ เป็นทั้งผู้บริหารและเพื่อนสนิทของซักเคอร์เบิร์กมาช้านาน ซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีในช่วงต้นปี 2022 ซึ่งบอสเวิร์ธเป็นผู้ที่ช่วยสร้างฟีเจอร์ต่างๆ ให้กับ Facebook อย่าง News Feed, Facebook Groups และ Messenger เป็นต้น
Facebook ได้วางรากฐานสำหรับโครงการนี้ไว้ตั้งแต่ปี 2014 แล้ว ตั้งแต่ที่เข้าซื้อกิจการผู้ผลิตแว่น VR อย่าง Oculus ซึ่งบอสเวิร์ธเข้ารับช่วงต่อในโปรเจกต์ VR ของ Facebook มาตั้งแต่ปี 2017 และเลื่อนขั้นเป็นเป็น CTO (Chief Technology Officer: ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี) สิ่งต่างๆ เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญและความจริงจังในโปรเจกต์นี้ของ Facebook
และเมื่อเร็วๆ นี้ Facebook ยังประกาศจะจ้างพนักงานกว่า 10,000 คนในยุโรปในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อเสริมกำลังในการสร้าง Metaverse นอกจากนั้นในรายงานผลประกอบการล่าสุดเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ระบุว่ากำไรจากการดำเนินงานจะลดลง 10,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2021 เนื่องจากนำเงินไปลงทุนในโปรเจกต์ Metaverse และยังมีแผนจะเพิ่มเงินลงทุนต่อเป็นเวลาหลายปี ก่อนที่โปรเจกต์นี้จะสามารถทำเงินได้จริง
Facebook กำลังเล่นทั้งเกมรุกและเกมรับในเวลาเดียวกัน เนื่องจาก Facebook กำลังเผชิญกับปัญหาที่เกิดจากนโยบายการเก็บข้อมูลของ Apple ทำให้รายได้จากการโฆษณาลดลง ไม่เพียง Apple เท่านั้น บริการของ Facebook อาจขึ้นอยู่กับ Google ในทำนองเดียวกับที่เกิดขึ้นจาก Apple ด้วยเช่นกัน
หากโปรเจกต์ Metaverse นี้สามารถดึงดูดผู้คนจำนวนมากได้ ผู้ใช้ต่างๆ อาจเข้าสู่โลก Metaverse ด้วยสมาร์ทโฟน แต่ก็มีผู้ใช้จำนวนไม่น้อยแน่ๆ ที่เข้าสู่โลกเสมือนนี้ด้วยแว่น Oculus VR ที่ Facebook เป็นเจ้าของ ซึ่งจะลดการพึ่งพาบริษัทอย่าง Apple และ Google ลงได้
ทอม ไมเนลลี รองประธานฝ่ายวิจัยอุปกรณ์และผู้บริโภคของบริษัทวิจัย IDC กล่าวว่า “Facebook ได้ลงทุนอย่างหนักในโปรเจกต์นี้มากกว่าที่หลายๆ คนรู้ พวกเขามองว่า Metaverse เป็นเหมือนกุญแจที่สำคัญในกลยุทธ์ของบริษัทที่จะ ‘กระจายแหล่งรายได้ในอนาคต’ พร้อมเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทเพื่อที่จะเป็นเจ้าแห่งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียได้ต่อไปในอนาคต” นอกจากนั้น Facebook ยังกล่าวว่าจะสร้างโลก Metaverse ที่บริษัทอื่นๆ สามารถเข้าร่วมและเติบโตไปด้วยกันได้
นอกจากนั้น พาโน แอนโธส ผู้ก่อตั้งกองทุนร่วมลงทุนและ XRC Labs สตาร์ทอัพซึ่งพยายามสร้าง Metaverse เมื่อ 15 ปีที่แล้ว กล่าวว่า “Facebook ยังต้องใช้เวลาอีกสักพักใหญ่ และเงินอีกหลายพันดอลลาร์ ในการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนให้หันมาใช้และปรับตัวได้กับ Metaverse”
ในปี 2016 บอสเวิร์ธเคยเขียนโพสต์ในฟอรัมภายในบริษัท เกี่ยวกับผลกระทบด้านลบของ Facebook ที่ทำให้เกิดการกลั่นแกล้งกันบนโลกออนไลน์ หรือแม้แต่การก่อการร้ายก็ตาม เขากล่าวว่า “นี่อาจเป็นอีกหนึ่งผลกระทบจากการที่เราเชื่อมต่อผู้คนต่างๆ ทั่วโลก”
โดยโพสต์นี้ได้ถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะในปี 2018 ซึ่งสร้างผลกระทบให้กับภาพลักษณ์ของ Facebook เป็นอย่างมาก ทำให้บอสเวิร์ธรู้สึกแย่ต่อเสียงของเพื่อนร่วมงาน และเสียงจากสาธารณชนเป็นอย่างมาก โดยเขาแค่ต้องการจุดประกายความคิดในผลกระทบด้านลบของบริการของบริษัทเพียงเท่านั้น
แต่ก็มีนักวิจารณ์หลายคนออกมาบอกว่า การพูดถึงโปรเจกต์ Metaverse อยู่บ่อยๆ นั้น เป็นกลยุทธ์เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถามเกี่ยวกับบริการอื่นๆ ที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย Facebook
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เตรียม ‘รีแบรนด์’ Facebook ด้วย ‘ชื่อบริษัทใหม่’ หวังสะท้อนทิศทางการเป็น Metaverse
- Facebook เปลี่ยนชื่อบริษัทแล้วจะรอดจากวิกฤตไหม? มาดูกรณีศึกษาจาก Google, Apple, KFC และบริษัทชื่อดังอีก 4 บริษัท
- ‘มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก’ ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่จาก Facebook เป็น ‘Meta’ สะท้อนความทะเยอทะยานที่ต้องการเป็นมากกว่า ‘บริษัทโซเชียลมีเดีย’ และมุ่งสู่ Metaverse
อ้างอิง: