Meta Platforms Inc. ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ครั้งสำคัญที่สุดในรอบปี กับแว่นตาอัจฉริยะ Meta Ray-Ban Display ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่มีหน้าจอแสดงผลในตัว โดยตั้งราคาไว้ที่ 799 ดอลลาร์ (ประมาณ 25,000 บาท) การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็น ‘ก้าวสำคัญ’ ในการผลักดันให้แว่นตาอัจฉริยะกลายเป็นอุปกรณ์ที่ทุกคนต้องมี และเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ระยะยาวของบริษัทในการสร้างระบบนิเวศของตนเอง
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของบริษัท ได้กล่าวในงาน Meta Connect ประจำปีว่า แว่นตาในอนาคตของ Meta จะเป็นเหมือนยานพาหนะสำหรับ ‘สุดยอดปัญญาประดิษฐ์ส่วนตัว’ (personal superintelligence) “AI ควรให้บริการผู้คน ไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งที่อยู่ในศูนย์ข้อมูลและทำงานอัตโนมัติให้กับสังคมในวงกว้าง” เขากล่าวบนเวที
ก่อนการเปิดตัว Bloomberg ได้สัมภาษณ์ แอนดรูว์ บอสเวิร์ธ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) ซึ่งได้เรียกแว่นตารุ่นใหม่นี้ว่าเป็น “ผลิตภัณฑ์ที่จริงจังชิ้นแรก” ในตลาดนี้ และเป็นส่วนสำคัญของความพยายามในการสร้าง ‘ระบบนิเวศ’ (ecosystem) อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคของตนเอง เพื่อแข่งขันโดยตรงกับคู่แข่งอย่าง Apple และ Google
หน้าจอขนาดเล็กที่ถูกติดตั้งไว้อย่างแนบเนียนในเลนส์ด้านขวาสามารถแสดงผลได้หลากหลาย ตั้งแต่ข้อความ, การแจ้งเตือนวิดีโอคอล, แผนที่นำทาง ไปจนถึงผลลัพธ์จากการสอบถาม Meta AI นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นช่องมองภาพสำหรับกล้องบนโทรศัพท์ และแสดงข้อมูลการเล่นเพลงได้อีกด้วย
“สิ่งนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณสามารถเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าได้บ่อยขึ้นตลอดทั้งวัน” บอสเวิร์ธกล่าว เขาย้ำว่าโทรศัพท์จะยังไม่หายไปไหน แต่แว่นตาจะเป็นช่องทางที่สะดวกสบายกว่าในการเข้าถึงฟีเจอร์ที่สำคัญที่สุดของโทรศัพท์
จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของแว่นตารุ่นนี้คือระบบ ‘สั่งการ’ รูปแบบใหม่ที่ใช้ท่าทางของมือเป็นหลัก โดยอาศัยอุปกรณ์สวมใส่ข้อมือที่เรียกว่า Meta Neural Band ซึ่งจะตรวจจับการเคลื่อนไหวของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อที่มือข้างที่ผู้ใช้ถนัด
ผู้ใช้งานสามารถเลือกรายการต่างๆ ได้ด้วยการใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้หนีบเข้าหากัน, เลื่อนดูรายการด้วยการสไลด์นิ้วโป้ง, แตะนิ้วโป้งสองครั้งเพื่อเรียกผู้ช่วย AI หรือบิดข้อมือกลางอากาศเพื่อปรับระดับเสียง ซึ่งเป็นการสร้างประสบการณ์การใช้งานที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
นอกจากนี้ แว่นตายังมาพร้อมกับฟีเจอร์คำบรรยายสดที่สามารถแสดงผลคำพูดแบบเรียลไทม์ รวมถึงการแปลภาษาได้ทันที คล้ายกับคำบรรยายบนโทรทัศน์ และผู้ใช้ยังสามารถตอบข้อความด้วยการอัดเสียงพูดหรือเขียนตัวอักษรกลางอากาศได้อีกด้วย
สำหรับสเปกทางเทคนิค หน้าจอมีขอบเขตการมองเห็น 20 องศา ด้วยความละเอียด 600 x 600 พิกเซล และมีความสว่างสูงสุดถึง 5,000 nits ทำให้มองเห็นได้ดีในสภาพแสงส่วนใหญ่ ขณะที่กล้องภายนอกมีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และสามารถบันทึกวิดีโอความละเอียด 1080p ได้
แบตเตอรี่ของตัวแว่นสามารถใช้งานได้นาน 6 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และเคสสำหรับชาร์จสามารถให้พลังงานเพิ่มได้อีก 30 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการสาธิตสดบนเวที ซักเคอร์เบิร์กก็ได้ประสบปัญหาทางเทคนิคเล็กน้อยกับอุปกรณ์ทั้งสองรุ่น ซึ่งเขาก็ได้กล่าวติดตลกว่า “เราซ้อมกันมาเป็นร้อยครั้งแล้วนะ”
Meta จะเริ่มวางจำหน่ายแว่นตารุ่นใหม่นี้ในวันที่ 30 กันยายน ผ่านทางร้านค้าของ Ray-Ban, Lenscrafters, Best Buy และ Verizon บางสาขา โดยในช่วงแรกจะรองรับแอปพลิเคชันอย่าง Facebook Messenger, WhatsApp และ Spotify ก่อนที่จะเพิ่มการดู Reels บน Instagram เข้ามาในภายหลัง
บอสเวิร์ธยอมรับว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ในช่วงแรกแม้แต่พันธมิตรอย่าง Ray-Ban เองก็ยังลังเลที่จะนำแบรนด์ของตนเองมาใช้กับแว่นตาที่มีจอแสดงผล และราคาที่สูงถึง 799 ดอลลาร์ก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำคัญ “คำถามที่แท้จริงคือผลิตภัณฑ์นี้จะรอดหรือไม่เมื่อต้องเจอกับตลาดจริง แต่เราก็รู้สึกมั่นใจกับผลิตภัณฑ์นี้มาก” เขากล่าว
แว่นตาอัจฉริยะรุ่นนี้ถือเป็นเพียงบันไดขั้นแรกที่นำไปสู่แว่นตา AR (Augmented Reality) เต็มรูปแบบ ที่สามารถซ้อนทับเนื้อหาอินเทอร์แอกทีฟลงบนโลกจริงได้ ซึ่ง Meta วางแผนที่จะเปิดตัวสู่ผู้บริโภคในปี 2027
บอสเวิร์ธยังได้เปรียบเทียบกับความล้มเหลวของ Google Glass ในอดีตว่า “เวลาคือทุกสิ่ง ไม่มีไอเดียที่แย่ในซิลิคอนวัลเลย์ มีแต่ช่วงเวลาที่ผิด” เขามองว่าตอนนี้คือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด ด้วยกระแส AI ที่กำลังบูม และคาดการณ์ว่าจะสามารถขายแว่นตารุ่นนี้ได้มากกว่า 100,000 ชิ้นภายในสิ้นปีหน้า
นอกเหนือไปจากแว่นตา บอสเวิร์ธยังเปิดเผยว่าโครงการสมาร์ทวอทช์เพื่อแข่งกับ Apple Watch ก็คืบหน้าไปมากแล้ว เขาระบุว่ากำลังพิจารณาแนวทางที่มีอนาคตสดใสอยู่หลายทาง และยังได้กล่าวเสริมด้วยว่า “ในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา เรามีความก้าวหน้าครั้งสำคัญในด้านประสบการณ์การใช้งานที่น่าตื่นเต้นมาก”
ขณะที่ อเล็กซ์ ฮิเมล หัวหน้าทีมพัฒนาแว่นตา ก็ได้กล่าวถึงการวิจัยเกี่ยวกับคอนแทคเลนส์ที่ในวันหนึ่งอาจเข้ามาทำหน้าที่แทนแว่นตาสำหรับเทคโนโลยี AR ได้อย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอาจจะ ‘ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง’ ก็เป็นได้ เนื่องจากมีอุปสรรคทางเทคโนโลยีที่สูงมาก พร้อมทั้งทิ้งท้ายว่า “ไม่มีอะไรที่เราไม่ได้กำลังศึกษาอยู่” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Meta กำลังสำรวจเทคโนโลยีทุกความเป็นไปได้สำหรับอนาคต
หมายเหตุ: ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 31.81 บาท ณ วันที่ 18 กันยายน 2568
ภาพ: REUTERS/Carlos Barria
อ้างอิง: