ศาลอุทธรณ์สหรัฐอเมริกาตัดสินคงกฎหมายที่บังคับให้ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok ขายแอปพลิเคชันวิดีโอสั้นยอดนิยม หรือถูกแบนทั่วประเทศ คำตัดสินนี้ส่งผลให้หุ้นของ Meta พุ่งขึ้น 2% เนื่องจาก Meta เป็นคู่แข่งรายใหญ่ที่สุดของ TikTok และมีฐานผู้ใช้และฟีเจอร์ที่คล้ายคลึงกัน
Meta พัฒนา Reels ฟีเจอร์วิดีโอสั้น เพื่อแข่งขันกับ TikTok โดย มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta กล่าวถึง Reels หลายครั้งในระหว่างการประชุมผลประกอบการ
Instagram เปิดตัว Reels ในปี 2020 โดยวางให้เป็นช่องทางสำหรับผู้ใช้ในการสำรวจเนื้อหาบนแอป ด้าน Meta ใช้ AI เพื่อปรับแต่งฟีดคำแนะนำ เพิ่มความน่าสนใจของ Reels และทำให้ผู้ใช้เลื่อนดูวิดีโอต่อเนื่อง เช่นเดียวกับที่ทำบน TikTok
ความพยายามของ Meta เริ่มเห็นผล ในช่วงไตรมาสแรกซักเคอร์เบิร์กกล่าวว่า การใช้งาน Reels คิดเป็น 50% ของเวลาที่ผู้ใช้ใช้บน Instagram และในไตรมาส 3 ซูซาน ลี ซีเอฟโอ กล่าวว่า 60% ของคำแนะนำ Reels มาจากเนื้อหาต้นฉบับ
Meta ไม่ได้เปิดเผยรายได้ของ Reels แต่ลีระบุว่า Reels ส่งผลเชิงบวกต่อรายได้โดยรวมของ Meta
หาก TikTok ถูกแบนในสหรัฐฯ ผู้สร้างเนื้อหา TikTok มีแนวโน้มที่จะย้ายไปยัง Reels ซึ่งจะดึงดูดผู้ใช้และผู้ลงโฆษณา เพิ่มรายได้ให้กับ Meta อย่างไรก็ตาม Meta ไม่ใช่คู่แข่งรายเดียวของ TikTok เพราะทาง YouTube Shorts ก็อาจได้รับประโยชน์เช่นกัน
กฎหมายแบน TikTok เกิดจากความกังวลด้านความมั่นคงของชาติเกี่ยวกับ ByteDance และความเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กังวลว่ารัฐบาลจีนอาจบังคับให้ TikTok สอดแนมผู้ใช้ชาวอเมริกัน หรือใช้แอปเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อ
TikTok ปฏิเสธข้อกล่าวหา และสหรัฐฯ ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ ว่ารัฐบาลจีนกำลังใช้แอปสอดแนมผู้ใช้ โดยคาดว่าการต่อสู้เรื่อง TikTok น่าจะไปถึงศาลฎีกา และยังมีความเป็นไปได้ที่ว่าที่ประธานาธิบดีอาจแทรกแซงในนามของ TikTok
หุ้นของ Meta เพิ่มขึ้น 77% ในปี 2024 หลังจากเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าในปี 2023 ทำให้มูลค่าตลาดของ Meta ใกล้แตะ 1.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 54.5 ล้านล้านบาท)
ซักเคอร์เบิร์กยังกล่าวถึงความพยายามของ Meta ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ AI ใหม่ๆ ซึ่งจะต้องใช้เงินหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยโพสต์บน Threads ว่า Meta AI “มีผู้ใช้งานต่อเดือนเกือบ 600 ล้านคน” และจะเปิดตัว Llama โมเดลภาษาขนาดใหญ่แบบ Open-source เวอร์ชัน 3.3 ในเร็วๆ นี้
อ้างอิง:
