จากการพบกันเป็นประจำสม่ำเสมอในศึก ‘เอลกลาซิโก’ สงครามลูกหนังอันดับหนึ่งของโลก ไม่น่าเชื่อว่าเราไม่ได้เห็นการพบกันระหว่างลิโอเนล เมสซี และคริสเตียโน โรนัลโด มาแล้วเป็นระยะเวลามากกว่า 2 ปีครึ่ง
ครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองได้พบกันคือศึกลาลีกาในเดือนพฤษภาคม 2018 ซึ่งจบลงด้วยการเสมอกัน 2-2 โดยที่เมสซีและโรนัลโดทำประตูได้ด้วยกันทั้งคู่ ก่อนที่ซูเปอร์สตาร์ลูกหนังชาวโปรตุเกสจะตัดสินใจที่จะทิ้งชุดสีขาวและตำนานของเขาในถิ่นซานติเอโก เบอร์นาบิวเอาไว้เบื้องหลัง เพื่อไปผจญภัยครั้งใหม่ในอิตาลีกับยูเวนตุส
โรนัลโดได้ทิ้งเมสซีเอาไว้ในสเปนด้วย และว่ากันว่าการจากไปของคู่ปรับตลอดกาล มีส่วนในการทำให้ไฟในตัวของเมสซีเริ่มมอดลงไม่น้อยไปกว่าปัญหาภายในของบาร์เซโลนา
อย่างไรก็ดี ในค่ำคืนนี้หากไม่มีอะไรผิดพลาด – และไม่ควรจะมี – เราทุกคนจะได้ชมการประลองเพลงแข้งกันระหว่างสองสุดยอดนักเตะที่ว่ากันว่าเก่งกาจที่สุดของยุคสมัยอีกครั้ง
ในการเผชิญหน้ากันครั้งที่ 36 และอาจเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับทั้งสอง หรืออย่างน้อย มันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เมสซีจะสวมชุดของบาร์ซาในการพบกับโรนัลโด
มันจะเป็นเกมที่น่าจดจำหรือไม่?
การเผชิญหน้ากันครั้งแรกของคู่ปรับแห่งชีวิตในรอบรองชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในปี 2008
คู่ปรับแห่งชีวิต
ถึงแม้คำถามว่า ‘ใครเก่งกว่าใคร’ ระหว่างเมสซีและโรนัลโดอาจจะนำไปสู่สถานการณ์ที่เรียกว่าวงแตกได้บ่อยครั้ง เพราะต่างก็มีเหตุและผลมารองรับด้วยกันทั้งสองฝักสองฝ่าย
แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือ ทั้งคู่สามารถก้าวขึ้นมายืนอยู่บนจุดสูงสุดของยุคสมัยได้ด้วยแรงผลักดันของกันและกัน และเป็นกรณีตัวอย่างที่ดีอย่างยิ่งสำหรับทุกเรื่องบนโลกว่า การแข่งขันนั้นไม่ได้นำไปสู่ความขัดแย้งหรือแก่งแย่งกันเสมอไป
โชคชะตานำพาให้โรนัลโดมาพบกับเมสซีครั้งแรกในเกมรอบรองชนะเลิศของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ของฤดูกาล 2007/08 โดยในช่วงเวลานั้นสตาร์ชาวโปรตุเกสกำลังอยู่ในช่วงไต่ระดับขึ้นสูงสุดของเกมฟุตบอล เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยอดผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ค้นพบว่าแท้จริงแล้วเจ้าหนูปีกจอมสับที่ขอตัวมาจากสปอร์ติง ลิสบอน และชุบเลี้ยงจนกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ของโลกนั้น ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นผู้เล่นในตำแหน่งปีก หากแต่บทบาทกองหน้านั้นจะทำให้เขาไปได้ไกลยิ่งกว่า
การพบกันในครั้งนั้น โรนัลโดและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดผ่านด่านเมสซีและบาร์ซาไปได้ (แม้ว่าเขาจะยิงจุดโทษพลาดในการพบกันครั้งนั้นก็ตาม) ก่อนที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะคว้าแชมป์ได้ในบั้นปลาย และในช่วงปลายปี สตาร์ชาวโปรตุเกสก็ได้รับรางวัลลูกฟุตบอลทองคำ ‘บัลลงดอร์’ เป็นครั้งแรก หลังจากที่เป็นรองจาก ริคาร์โด กาก้า เทพบุตรลูกหนังชาวบราซิลเจ้าของรางวัลในปี 2007
โรนัลโดประกาศกร้าวว่า เขาต้องการที่จะคว้าสุดยอดเกียรติยศครั้งนี้มาครองให้ได้อีก
ในฤดูกาล 2008/09 โรนัลโดยังไม่สามารถย้ายไปร่วมทีมเรอัล มาดริดได้อย่างที่ตั้งใจ เมื่อเฟอร์กูสัน ผู้เปรียบเหมือนพ่อคนที่สองร้องขอให้อยู่กับทีมไปอีกหนึ่งปีก่อน ขณะที่เมสซีเริ่มเปลี่ยนสถานะจากดาวรุ่งมาเป็นตัวเอกของทีมบาร์ซา ที่เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของเกมฟุตบอลด้วยสไตล์ Tiki-taka ของเป๊ป กวาร์ดิโอลา
บาร์ซาได้พบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอีกครั้งในนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกที่กรุงโรม ซึ่งได้รับการเปรียบเปรยว่าเป็นนัดชิงแห่งความฝัน เพราะแชมป์เก่าจากปีที่แล้วที่นำมาโดยเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์อย่างโรนัลโด จะได้พบกับทีมที่เล่นฟุตบอลได้น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดแห่งยุคสมัยอย่างบาร์ซา ที่นำมาโดยเมสซี ผู้เป็นอัจฉริยะลูกหนัง
ท่ามกลางเสียงยกยอปอปั้นของกองเชียร์แต่ละฝ่าย เฟอร์กูสันกลับกล่าวยกย่องนักเตะทั้งสองว่าเป็นยอดนักเตะด้วยกันทั้งคู่
อย่างไรก็ดี เมื่อถึงคราวลงสนาม โรนัลโดและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดต้องยอมศิโรราบให้แก่เมสซีและบาร์ซา ที่เป็นฝ่ายพิชิตพวกเขาได้อย่างราบคาบด้วยสกอร์ 2-0 โดยที่ในเกมนี้เมสซีทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด ด้วยการโหม่งทำประตูให้บาร์ซาได้ด้วย แม้ว่าจะเคยถูกปรามาสว่าเป็นนักเตะตัวเล็กตัวน้อยก็ตาม
ชัยชนะของเมสซีและความพ่ายแพ้ของโรนัลโดในวันนั้น นำไปสู่การแข่งขันที่กินระยะเวลาต่อเนื่องยาวนานเกือบ 10 ปี เมื่อดาวเตะชาวโปรตุเกสผู้ไม่เคยยอมแพ้ใครบอกลาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดหลังเกมนัดชิงที่โรม และมาเริ่มต้นใหม่ในฐานะนักเตะเจ้าของค่าตัวแพงที่สุดในโลกกับเรอัล มาดริด ด้วยสถิติ 80 ล้านปอนด์
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งสองได้ประลองฝีเท้ากันอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะในศึกลาลีกา, โกปา เดล เรย์, สแปนิชซูเปอร์คัพ และในแชมเปียนส์ลีกที่เคยได้พบกันครั้งหนึ่งในรอบรองชนะเลิศปี 2011
ในรางวัลเกียรติยศส่วนตัว เมสซีพิชิตรางวัลบัลลงดอร์ต่อเนื่อง 4 สมัยตั้งแต่ปี 2009, 2010, 2011, 2012
แต่หลังจากนั้น โรนัลโดที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ พิสูจน์ให้เห็นว่าหากมีความพยายามมากพอ ต่อให้นักเตะเทวดาอย่างเมสซี เขาก็สู้ได้ และสามารถพิชิตบัลลงดอร์ในปี 2013, 2014 ซึ่งแม้เมสซีจะแทรกคว้ารางวัลในปี 2015 ไปได้แบบมีข้อกังขา แต่นักเตะผู้เป็นสัญลักษณ์ของความพยายามก็กลับมาคว้ารางวัลได้ในปี 2016 และ 2017
ทำให้ทั้งสองสามารถคว้ารางวัลลูกฟุตบอลทองคำมาครองได้คนละ 5 สมัยเท่ากัน แต่สุดท้ายเมสซีมาได้รางวัลสมัยที่ 6 ไปครองในปี 2019 (ซึ่งมีข้อกังขาเช่นกัน)
นอกเหนือจากรางวัลเกียรติยศสูงสุดอย่างบัลลงดอร์ ทั้งสองยังแข่งขันกันในทุกด้าน โดยเฉพาะผลงานในการถล่มประตูที่เรียกได้ว่าไม่มีใครยอมใคร
จากปี 2009 จนถึง 2018 ที่โรนัลโดดวลกับเมสซีในฟุตบอลสเปน ทั้งคู่กวาดรางวัล เอล ปิชีชี หรือรางวัลดาวซัลโวของลาลีกา (และผลงานนั้นยังทำให้ได้รางวัลรองเท้าทองคำ หรือรางวัลดาวซัลโวยุโรปด้วย) มาครองร่วมกันได้ถึง 8 ครั้ง โดยเมสซีได้ในปี 2010, 2012, 2013, 2017 และ 2018 ขณะที่โรนัลโดได้รางวัลในปี 2011, 2014 และ 2015
ไม่นับความสำเร็จอื่นๆ รวมถึงความสำเร็จในระดับสโมสรที่แข่งขันกันมาตลอด
แข่งกันจนทะลุฟ้าในทุกเวที ทุกระดับ และไม่เคยมีใครยอมใครในสนาม
ความสัมพันธ์ที่ไม่จำเป็นต้องมีสัมพันธ์
กับการแข่งขันในสนามที่รุนแรงต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 10 ปี แน่นอนว่าย่อมปฏิเสธที่จะให้คนมองทั้งคู่ว่าเป็นคู่แข่งที่จะไม่มีวันยอมกันได้ยาก
เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเคยเป็นกรณีฮือฮาจากข้อเขียนของ กีเยม บาลาเก นักเขียนฟุตบอลชาวสเปนที่บอกว่า โรนัลโดไม่ได้ชื่นชอบเมสซีและเคยพูดถึงด้วยคำพูดที่ไม่สวยงามนัก แต่สตาร์ชาวโปรตุเกสก็ปฏิเสธเรื่องดังกล่าวและเกือบมีการฟ้องร้องกัน
ในทางตรงกันข้าม ทั้งคู่พยายามแสดงออกผ่านคำพูดอยู่หลายครั้งว่าไม่ได้มีความจงเกลียดจงชังกันแต่อย่างใด
ในปี 2015 โรนัลโดเคยให้สัมภาษณ์ถึงการแข่งขันกับเมสซีว่า “ผมคิดว่าเราต่างผลักดันกันและกันในการแข่งขัน และนั่นทำให้การแข่งขันนั้นสูงอย่างยิ่ง”
ขณะที่เมสซีปฏิเสธความขัดแย้งระหว่างทั้งสอง โดยบอกว่ามีเพียงสื่อเท่านั้นที่ปั้นเรื่องกันเอง “ผู้คนอยากให้เราปะทะกัน แต่ผมไม่เคยต้องสู้กับโรนัลโด”
และเมื่อครั้งที่โรนัลโดตัดสินใจเด็ดขาดที่จะอำลาเรอัล มาดริด เมสซียอมรับอย่างซื่อตรงว่าเขา ‘คิดถึง’ คู่แข่งคนนี้ ต่อให้จะเป็นเรื่องยากจะทำใจที่จะเห็นเขาประสบความสำเร็จในสนามกับทีมโลส บลังโกสเองก็ตาม
เมื่อปี 2019 โรนัลโดและเมสซีได้ถูกสัมภาษณ์คู่กันในระหว่างการประกาศรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยูฟ่า
โรนัลโดหยอดทางเมสซีว่า “ผมอยากจะมีโอกาสได้ทานข้าวกับเขาในอนาคต”
การพบกันครั้งที่ 36 – การพบกันครั้งสุดท้าย?
เมสซีจะอายุครบ 34 ปีในฤดูร้อนหน้า ขณะที่โรนัลโดกำลังจะอายุครบ 36 ปีในเดือนกุมภาพันธ์นี้
และถึงเราจะยังได้เห็นความสุดยอดของทั้งคู่ที่ยังรักษามาตรฐานการเล่นในระดับสูงเอาไว้ แต่เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่เริ่มประสบความยากลำบากในการรักษามาตรฐานการเล่นของตัวเองที่ตั้งค่าเอาไว้สูงทะลุฟ้า
โดยเฉพาะกับเมสซีที่ในระยะหลังการเล่นตกลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าส่วนหนึ่งจะมาจากผลงานรวมของบาร์ซาที่กำลังเข้าสู่ยุคตกต่ำก็ตาม
ความในใจของราชาลูกหนังอาร์เจนไตน์เองก็มีส่วน เพราะเป็นที่รู้กันว่าเมสซี ‘จำใจ’ ที่จะอยู่กับบาร์ซาต่อไปอีกหนึ่งปี และเวลาของเขากับทีมที่อยู่มาตั้งแต่อายุ 13 ปีกำลังเริ่มนับถอยหลังไปเรื่อยๆ โดยยังไม่มีใครรู้ว่าอนาคตวันข้างหน้าเขาจะเลือกไปอยู่กับทีมใด
ขณะที่โรนัลโด ยูเวนตุสภายใต้การนำของอันเดรีย ปิร์โล เองก็ไม่ได้ถึงกับยอดเยี่ยมนัก และไม่แน่ใจว่าเขาจะให้โอกาสซูเปอร์สตาร์ลูกหนังรายนี้สักกี่นาทีในสนามคัมป์นูที่ว่างเปล่า
เพราะการพบกันของทั้งบาร์ซาและยูเวนตุสในคืนนี้ ไม่ได้มีความหมายมากไปกว่าการชิงตำแหน่งแชมป์ของกลุ่ม หลังจากที่ทั้งคู่ผ่านเข้ารอบต่อไปแน่นอนแล้ว
ดังนั้น เราคงไม่อาจคาดหวังถึงการดวลกันที่สุดยอดของทั้งคู่เหมือนในอดีตได้ในการพบกันของเกมแชมเปียนส์ลีกคืนนี้
อย่างไรก็ดี แค่การพบกันอีกครั้งของทั้งสอง – ซึ่งอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตนี้ – แค่นั้นก็นับว่าสำคัญที่สุดแล้ว มากกว่าเรื่องของผลการแข่งขัน หรือเรื่องอื่นใด
เฝ้าดูเสียเถิด ก่อนจะไม่มีโอกาสได้ดูอีก และขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้เราได้อยู่ในยุคสมัยที่มีสุดยอดนักเตะตลอดกาลอยู่พร้อมกันถึง 2 คน
และนั่นอาจทำให้เราสามารถหาคำตอบของคำถามว่าใครคือ GOAT หรือ Greatest of All Time ได้ง่ายๆ
ก็แค่เติม s ไปข้างหลังแค่นั้นเอง
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง:
- https://www.thetimes.co.uk/edition/sport/lionel-messi-v-cristiano-ronaldo-episode-36-the-end-of-an-era-vrf29rfvq
- https://www.bbc.com/sport/football/54700102
- https://en.wikipedia.org/wiki/Messi%E2%80%93Ronaldo_rivalry
- ในวันที่ 27 มกราคม 2013 โรนัลโดทำแฮตทริกใส่เคตาเฟได้ แต่หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง เมสซีก็ทำคนเดียว 4 ประตูใส่โอซาซูนาได้เช่นกัน
- ทั้งเมสซีและโรนัลโดเกิดและเติบโตในครอบครัวที่ยากจน และพยายามใช้เกมฟุตบอลสร้างชีวิตใหม่ที่ดีขึ้น ไม่เฉพาะกับตัวเอง แต่เพื่อครอบครัวของพวกเขาด้วย
- การแข่งขันของทั้งคู่ยังลามไปถึงเรื่องของเงินรายได้ (ที่ไม่มีใครยอมใคร) และการเป็นพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์กีฬายักษ์ใหญ่ที่เป็นคู่แข่งตลอดกาลเช่นกันอย่าง Adidas (เมสซี) และ Nike (โรนัลโด)