×

กว่าจะมาเป็น Meryl Streep ผู้หญิงที่เกิดมาเป็นนักแสดงที่เก่งที่สุดในโลก

01.03.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

10 Mins. Read
  • ตั้งแต่เด็ก เมอรีลมีความทะเยอทะยานสูงและเป็นผู้หญิงที่อยากลองทำทุกอย่าง ตอนอายุ 12 เมอรีลเริ่มฝึกหัดร้องเพลงโอเปรา พอ 14 ก็ตัดสินใจเป็นเชียร์ลีดเดอร์ และพอเข้ามัธยมปลาย เธอก็ได้รับบทนำในละครเพลง สมัครเข้าสภานักเรียน เรียนภาษาฝรั่งเศส และยังเป็นดาวโรงเรียน
  • ในปี 1978 ชีวิตของเมอรีลก็ถึงจุดเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เหมือนเจอดาบสองคม สิ่งที่วิเศษคือเธอได้เล่นหนังสงครามเรื่อง The Deer Hunter ร่วมกับ โรเบิร์ต เดอ นิโร (Robert De Niro) และได้เข้าชิงออสการ์เป็นครั้งแรกในสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม แต่ช่วงถ่ายทำหนังเรื่องนี้ เมอรีลก็ต้องสูญเสียแฟนหนุ่มของเธอที่เล่นหนังเรื่องนี้ด้วย นักแสดง จอห์น คาซาล (John Cazale) เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง 9 เดือนก่อนที่หนังจะฉาย
  • พอเมอรีลอายุ 57 ในปี 2006 ชื่อเสียงของเธอก็เข้าสู่สมรภูมิใหม่ที่เริ่มกลายเป็นเซเลบไปในตัว เนื่องจากเด็กเจนวายและมิลเลนเนียลส์ รู้จักเธอมากยิ่งขึ้นจากการเล่นหนัง The Devil Wears Prada ในบทบาท มิแรนดา พรีสต์ลี
  • ตอนเธอเล่นเป็น มาร์กาเรต แทตเชอร์ ในหนังเรื่อง The Iron Lady (2011) เมอรีลก็ได้มอบเงินค่าตัวทั้งหมด 1 ล้านเหรียญ เพื่อสมทบทุนการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ National Women’s History Museum

 

 

บรรณาธิการนิตยสารแฟชั่น แม่ชี นายกรัฐมนตรีหญิงอังกฤษคนแรก เชฟชื่อดัง สาวเดนิชที่ไปใช้ชีวิตอยู่แอฟริกา สาวชาวโปแลนด์ที่รอดมาจากเหตุการณ์ฮอโลคอสต์ แม่มด…

 

นี่เป็นเพียงบางส่วนของบทบาทที่นักแสดงผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เป็นคุณแม่ลูก 4 แสดงภาพยนตร์ตลอด 41 ปี กว่า 85 เรื่อง และชนะออสการ์มา 3 ครั้ง ได้สร้างผลงานไว้ในสายอาชีพ และดูเหมือนว่ายังจะไม่หยุดสถิติไว้แค่นี้ ชื่อของเธอคือ เมอรีล หลุยส์ สตรีป หรือที่เรารู้จักกันในนาม เมอรีล สตรีป (Meryl Steep) นักแสดงที่หลายคนกล่าวขานว่าเก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ฮอลลีวูด แต่กว่าเธอจะมายืนอยู่ยอดภูเขาของอุตสาหกรรมที่หลายคนใฝ่ฝันถึง เมอรีลก็ได้เผชิญบททดสอบต่างๆ ที่สะท้อนให้เห็นว่าความสามารถ, การผลักดันตัวเอง และมีจุดยืน คือกลไกสำคัญที่มนุษย์เราควรดำเนินชีวิตไม่ว่าจะอยู่ในสายอาชีพอะไรก็ตาม

 

เมอรีลเกิดเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ปี 1949 ที่เมืองซัมมิต ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ ภายในครอบครัวที่คุณแม่ แมรี วิลคินสัน สตรีป ทำงานเป็นศิลปินและบรรณาธิการศิลปะ ส่วนคุณพ่อ แฮร์รี วิลเลียม สตรีป, จูเนียร์ ทำงานด้านเภสัชกรรม โดยเมอรีลเป็นพี่สาวคนโตและมีน้องชายอีก 2 คน

 

ตั้งแต่เด็ก เมอรีลมีความทะเยอทะยานสูงและเป็นผู้หญิงที่อยากลองทำทุกอย่าง ซึ่งได้ช่วยบ่มเพาะให้เธอมีความสามารถอันเปี่ยมล้นจนถึงทุกวันนี้ ตอนอายุ 12 เมอรีลเริ่มฝึกหัดร้องเพลงโอเปรา พออายุ 14 ก็ตัดสินใจเป็นเชียร์ลีดเดอร์ และพอเข้ามัธยมปลาย เธอก็ได้รับบทนำในละครเพลง สมัครเข้าสภานักเรียน เรียนภาษาฝรั่งเศส และยังได้เป็น Homecoming Queen หรือดาวโรงเรียนที่ Bernards High School อีกด้วย ซึ่งต้องพูดว่าในยุคสมัย 60s ที่ผู้หญิงยังคงถูกตีกรอบ ถูกตีคุณค่าต่างๆ นานา เมอรีลได้ทำหลายอย่างที่บ่งบอกว่าเธอจะไม่ยอมให้ใครมาบงการชีวิต และคำว่า ‘ประสบความสำเร็จ’ เป็นสิ่งที่เธอจะสร้างขึ้นในรูปแบบตัวเธอ

 

เมอรีลเป็นเชียร์ลีดเดอร์ที่ Bernards High School

เมอรีลกับแฟนหนุ่ม จอห์น คาซาล ที่ตายจากโรคมะเร็ง 9 เดือนก่อนที่หนัง The Deer Hunter จะฉาย

 

พอเข้ามหาวิทยาลัย เมอรีลตัดสินใจเรียนปริญญาตรีที่ Vassar College ในรัฐนิวยอร์ก ด้านการออกแบบเสื้อผ้า แต่เพราะเธอสอบตก เมอรีลเลยเปลี่ยนสาขามาเรียนด้านการแสดงแทน ซึ่งก็รุ่งเรืองจนเธอได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาโทที่ Yale School of Drama ซึ่งเป็นที่เดียวกันที่ ลูพิตา นยองโก เรียนจบในปี 2012 ก่อนที่ชนะรางวัลออสการ์สำหรับภาพยนตร์ 12 Years A Slave

 

ยังเป็นมาตรฐานทุกวันนี้ว่าใครที่อยากไปเป็นนักแสดงจอเงินหรือจอแก้วก็ต้องไปลอสแอนเจลิส ส่วนใครอยากเล่นละครเวทีก็ต้องไปบรอดเวย์ที่มหานครนิวยอร์ก นั่นทำให้ในปี 1975 ทันทีที่เมอรีลเรียนจบ เธอตัดสินใจมุ่งหน้าสู่มหานครนิวยอร์กและเริ่มเล่นละครเวทีของค่าย Public Theatre ซึ่งจะมีการแสดงซีรีส์ Shakespeare In The Park ที่ Central Park

 

ภายในปีแรก เมอรีลก็ได้กลายเป็นดาวเด่นของคณะ และทำงานอย่างไม่ถดถอย ในช่วงนั้นเธอได้เล่นละครเวที 5 เรื่องในปีแรก ซึ่งหนึ่งในเพื่อนร่วมงานอย่างนักแสดงชื่อดัง เควิน ไคลน์ เคยกล่าวบนเวที Kennedy Center Honors ในปี 2011 ยกย่องเมอรีลว่า ในตอนนั้นเธอต้องขี่จักรยานจากที่พักไป Central Park ระยะทางเกือบ 10 กิโลเมตรทุกวัน เพราะต้องการสร้างความแข็งแกร่งให้ร่างกายตัวเอง

 

พอมาในปี 1977 ยุคที่นิวยอร์กกำลังเฟื่องฟูด้วยศิลปะและดนตรี เช่น คลับ Studio 54 และผลงาน แอนดี้ วอร์ฮอล เมอรีลก็ได้เล่นหนังเรื่องแรกในชีวิตชื่อ จูเลีย ที่ เจน ฟอนดา แสดงนำ แม้ว่าจะได้เล่นแค่เป็นตัวประกอบ และฉากเธอในหนังถูกตัดเกือบหมด แต่ในปี 1978 ชีวิตของเมอรีลก็ถึงจุดเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่มาพร้อมทุกข์และสุข สิ่งที่วิเศษคือเธอได้เล่นหนังสงครามเรื่อง The Deer Hunter ร่วมกับ โรเบิร์ต เดอ นิโร และได้เข้าชิงออสการ์เป็นครั้งแรกในสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม แต่ช่วงถ่ายทำหนังเรื่องนี้ เมอรีลก็ต้องสูญเสียแฟนหนุ่มที่เล่นหนังเรื่องนี้ด้วยกัน นักแสดง จอห์น คาซาล เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเพียง 9 เดือนก่อนที่หนังจะฉาย จอห์นเปรียบเสมือนคู่ชีวิตของเมอรีลในตอนนั้น เพราะคบหากันมากว่า 2 ปีและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน

 

อัล ปาชิโน นักแสดงและเพื่อนของจอห์นที่เล่นหนังคลาสสิก The Godfather ด้วยกัน เคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่ดูแลและให้ความรักกับแฟนตัวเองที่กำลังจะจากไปเหมือนที่เมอรีลได้ให้กับจอห์นจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต

 

Kramer vs. Kramer (1979)

เมอรีลรับรางวัลออสการ์ปี 1979 สำหรับนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากเรื่อง Kramer vs. Kramer

Photo: Courtesy of AMPAS

 

แต่ในสิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็ย่อมมีสิ่งที่ดีปรากฏอยู่เสมอ เพราะในปีเดียวกันที่เมอรีลสูญเสียจอห์นไป เธอก็ได้เจอนักประติมากรรมชื่อ ดอน กัมเมอร์ และแต่งงานใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจนถึงทุกวันนี้ พร้อมมีลูกด้วยกัน 4 คน Henry, Mamie, Grace และ Louisa ซึ่งลูกๆ ของเธอก็เลือกเดินตามรอยเท้าคุณแม่ทำงานในวงการบันเทิง ยกเว้นคนสุดท้อง Louisa ที่เป็นนางแบบค่าย IMG Models

 

ในปี 1979 เมอรีลก็ได้แสดงหนังดราม่าคลาสสิกเรื่อง Kramer vs. Kramer คู่กับ ดัสติน ฮอฟฟ์แมน และเธอก็ชนะรางวัลออสการ์เป็นครั้งแรกในสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม ซึ่งหลายคนอาจไม่รู้ว่าที่งานออสการ์ เธอดันลืมรูปปั้นรางวัลไว้บนฝาชักโครกตอนเข้าห้องน้ำเสร็จ!

 

กราฟความสำเร็จของเมอรีลก็ยังคงพุ่งขึ้นเรื่อยๆ พอเข้าทศวรรษ 80s ด้วยหลากหลายบทบาทที่ได้ถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์ฮอลลีวูด ไม่ว่าจะเป็นบท Sophie Zawistowski ในหนัง Sophie’s Choice (1982) ที่ทำให้เธอชนะรางวัลออสการ์ตัวที่ 2 และครั้งแรกในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม แถมนิตยสารภาพยนตร์ชั้นนำ Premiere ยังลิสต์การแสดงของเธออยู่ในอันดับ 3 ของการแสดงที่ดีสุดตลอดกาล ส่วนหนังโรแมนติกดราม่าเรื่อง Out of Africa (1985) ที่เธอแสดงกับพระเอกสุดเท่ โรเบิร์ต เรดฟอร์ด ไม่เพียงแต่จะทำให้เมอรีลได้เข้าชิงรางวัลออสการ์อีกครั้ง แต่ก็ประสบความสำเร็จด้าน Box Office โดยทำรายได้กว่า 200 ล้านเหรียญทั่วโลก และทำให้เห็นว่าเมอรีลก็สามารถเป็นนางเอกที่เรียกเรตติ้งให้คนยอมเสียเงินมาดูหนัง คล้ายกับ จูเลีย โรเบิร์ตส์ ในยุค 90s และ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ในยุคนี้

 

ในยุค 90s แม้จะยังไม่มีโซเชียล ดาราก็เริ่มสูญเสียความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้นและกลายเป็นของเล่นทางสังคม ผลเกิดจากวัฒนธรรมเซเลบริตี้และปาปารัซซีที่ดุเดือดมากยิ่งขึ้น แต่สำหรับเมอรีลแล้ว เพราะเธอเข้าวัยเลข 4 และมีชีวิตเรียบง่ายดูแลสามีและลูกๆ ที่รัฐคอนเนตทิคัต เธอก็โชคดีที่ชีวิตไม่ได้ถูกคุกคามมากจากสื่อ เทียบกับดารารุ่นน้องในยุคนั้น อาทิ กวินเน็ธ พัลโทรว์ หรือ วิโนนา ไรเดอร์ แต่กระนั้นเมอรีลก็ยังเล่นหนังทุกปี เช่น The Bridges of Madison County (1995) กับ คลินต์ อีสต์วูด และถูกมองว่าเป็น ‘นักแสดง’ มากกว่า ‘เซเลบริตี้’

 

Sophie’s Choice (1982)

Out of Africa (1985)

 

แต่พอเมอรีลอายุ 57 ในปี 2006 ชื่อเสียงของเธอก็เข้าสู่สมรภูมิใหม่ที่เริ่มกลายเป็นเซเลบไปในตัว เนื่องจากเด็กรุ่นเจนวายหรือมิลเลนเนียลส์ เริ่มรู้จักเธอมากยิ่งขึ้นจากการเล่นหนัง The Devil Wears Prada ในบทบาท มิแรนดา พรีสต์ลี หนังเรื่องนี้ได้กลายเป็นอีกหนึ่งตำนานในวัฒนธรรมป๊อปที่หลายคนจำได้และกลับไปดูซ้ำหลายๆ รอบ หนังกวาดเงินไปกว่า 300 ล้านเหรียญทั่วโลก ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในอาชีพนักแสดงของเมอรีลในตอนนั้น ก่อนที่หนังเพลง Mamma Mia! ในปี 2008 จะทำลายสถิติทำเงินไปได้กว่า 600 ล้านเหรียญ แต่เมอรีลมาเปิดเผยกับนิตยสาร Variety ในปี 2016 ว่า The Devil Wears Prada เป็นหนังเรื่องแรกที่เธอตัดสินใจสร้างความหนักแน่นกับฮอลลีวูดและขอค่าตัวเพิ่ม เพราะรู้สึกว่าตัวเองโดนเอาเปรียบเป็นอย่างมากหากเทียบกับสิ่งที่ต้องทำ และเมื่อเธอพร้อมจะปฏิเสธหากไม่ได้รับค่าตอบแทนที่คุ้มค่า ทางค่ายหนังจึงยอมจ่ายเงินเพิ่มให้อีกเท่าหนึ่ง

 

เป็นนักแสดงระดับเมอรีลแล้ว การช่วยเหลือสังคมก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่เธอใส่ใจอยู่เสมอ โดยจะมีการอิงกับภาพยนตร์ที่เธอเล่นอยู่บ่อยครั้ง อย่างเช่นตอนเธอเล่นเป็น มาร์กาเรต แทตเชอร์ ในหนังเรื่อง The Iron Lady (2011) ที่เธอชนะออสการ์รางวัลดารานำหญิงยอดเยี่ยม เมอรีลก็ได้มอบเงินค่าตัวจำนวน 1 ล้านเหรียญเพื่อสมทบทุนการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ National Women’s History Museum ในวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งเน้นมุ่งเน้นการเล่าบทบาทและเหตุการณ์สำคัญของสุภาพสตรีอเมริกันที่ขับเคลื่อนสังคม ส่วนเสื้อผ้าไฮแฟชั่นทั้งหมดที่เมอรีลได้ใส่ใน The Devil Wears Prada ที่มูลค่าเกินล้านเหรียญ ก็ได้มอบให้กับการกุศล นอกเหนือจากนั้นในปี 2012 เมอรีลก็ไม่ลืมรากฐานและสถานที่แรกที่ทำให้เธอได้งานอย่าง The Public Theater ซึ่งเธอมอบเงิน 1 ล้านเหรียญเพื่อช่วยบูรณะตึกของโรงละครในนิวยอร์ก

 

ในวัย 68 ปี เมอรีลก็ดูเหมือนยังไม่หมดไฟและกำลังจะมีหนังใหญ่ 2 เรื่องในปีนี้ เริ่มจากหนังเพลงภาคต่อ Mamma Mia! Here We Go Again ในเดือนกรกฎาคมที่จะมี Cher มาร่วมแสดงด้วย หลังจากที่พวกเธอเคยเล่นภาพยนตร์เรื่อง Silkwood (1983) ด้วยกัน ส่วนในเดือนธันวาคมเธอก็จะเล่นหนังเพลงอีกเรื่องของค่ายดิสนีย์ Mary Poppins Returns ซึ่งเราจะได้เห็นเธอกลับมาแสดงคู่กับเอมิลี บลันต์ อีกครั้ง หลังเคยเล่นเป็นหัวหน้าและเลขาใน The Devil Wears Prada ไม่เพียงเท่านั้น ในปี 2019 เราก็จะเห็นเมอรีลกลับมาเล่นซีรีส์อีกครั้งใน Big Little Lies ซีซัน 2 ทางช่อง HBO ที่จะแสดงกับ รีส วิเธอร์สปูน, ลอรา เดิร์น และนิโคล คิดแทน ที่เคยแสดงร่วมกันในหนัง The Hours (2002)

 

รับรางวัล The Presidential Medal of Freedom จากประธานาธิบดีบารัก โอบามา ในปี 2014

ถ่ายแบบในนิตยสาร Vogue อเมริกา โดยแอนนี ลีเบอวิตซ์ กับกลุ่มผู้หญิงที่ช่วยเหลือก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ National Women’s History Museum ในวอชิงตัน ดี.ซี.

The Iron Lady (2011)

 

อะไรคือสิ่งที่ทำให้คนกล้านิยามว่า เมอรีล สตรีป คือหนึ่งในนักแสดงที่ดีสุดตลอดกาล? เรามองว่าเธอเหมือนรุ่นพี่ แคทารีน เฮปเบิร์น, เบตตี เดวิส และวาเนสซา เรดเกรฟ ถ้ารุ่นน้องต้องยกให้ เคต บลานเชตต์ เมอรีลได้สะท้อนถึงความรัก ‘ศาสตร์การแสดง’ แบบถวายตัวในทุกบทบาทที่เธอรับเล่น ซึ่งจะเรียกการแสดงเป็นศาสนาของเธอก็ว่าได้ เมอรีลไม่เคยห่วงสวยหรือแคร์ว่าต้องดูเพอร์เฟกต์ตลอดเวลา เธอไม่ได้แค่มาท่องบท รีบแสดง รับเช็ก และกลับบ้าน แต่ใช้เวลาเข้าไปอยู่ในเนื้อหนังของตัวละครผู้หญิงที่เธอต้องแสดง ทั้งร่างกายและจิตใจ ในหนังเรื่อง Music of the Heart (1999) ที่เธอแสดงเป็นนักสีไวโอลิน โรเบอร์ตา กัสปารี เธอก็ฝึกหัดเล่นไวโอลินวันละ 5 ชั่วโมงทุกวันตลอด 2 เดือน ซึ่งเหมือนกับหนังเรื่อง Ricki and the Flash (2015) ที่เธอฝึกเล่นกีตาร์ 6 เดือน

 

ส่วนในหนัง Kramer vs. Kramer ที่เธอเล่นเป็นภรรยาและแม่ลูกหนึ่งในนิวยอร์กที่ไม่แฮปปี้กับชีวิตและเลือกทิ้งทุกอย่าง ก่อนจะกลับมาทวงสิทธิ์เลี้ยงดูลูก 15 เดือนต่อมา เมอรีลก็จะไปนั่งที่สวนสาธารณะ Central Park เพื่อศึกษาอิริยาบถต่างๆ ของเหล่าแม่ๆ เด็กอ่อน ซึ่งพอมาถึงฉากที่ต้องแสดงคู่กับพระเอก ดัสติน ฮอฟฟ์แมน เมอรีลก็กล้าที่จะออกความเห็นและเถียงกลับหากรู้สึกว่าฉากไหนพยายามสร้างภาพลักษณ์ให้ผู้หญิงดูจิตใจโหดเหี้ยม ซึ่งก็น่านับถือ เพราะเธอมีจุดยืนที่แน่ชัด แม้จะเป็นแค่นักแสดงหน้าใหม่ในตอนนั้นก็ตาม

 

ปิดท้ายที่บทสัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ของช่อง CBS ที่ เมอรีลเคยพูดไว้เมื่อปี 2011 เธอบอกว่า มันสำคัญมากที่เธอรับเล่นตัวละครผู้หญิงที่มีความเป็นผู้นำและมีความคิดเป็นของตัวเอง เพราะในอุตสาหกรรมฮอลลีวูดพระเอกจะเล่นบทอ่อนโยนขนาดไหนก็ดูเป็นผู้นำอยู่ดี แต่สำหรับผู้หญิงมันไม่ใช่อย่างนั้น และสิ่งที่เธอคิดว่าทำไมถึงตีบทแตกได้ ก็เป็นเพราะว่าวิธีคิดที่เธอมีต่อตัวละคร ที่ถึงแม้ทางภาพลักษณ์จะต่างจากตัวเธอขนาดไหน แต่จะต้องหานิสัยหรือความคิดสักอย่างที่เหมือนกันให้ได้

 

หากเราต้องเอาตัวละครที่เธอเคยแสดงมายืนเรียงกันทั้งหมด เราเชื่อว่าทุกตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นเพศ ศาสนา สีผิว อายุ หรือรูปร่างอย่างไร จะต้องมีตัวละครหนึ่งของเมอรีลที่เป็นกระจกสะท้อนชีวิตของเราไม่มากก็น้อย และทำให้เห็นว่าโลกนี้ก็เต็มไปด้วยคนที่ต่างมีเรื่องราว ความรู้สึก และทางเดินของชีวิต

 

“Integrate what you believe in every single area of your life. Take you heart to work and ask the most and best of everybody else, too” – เมอรีล สตรีป

 

เมอรีลกับสามี ดอน กัมเมอร์

เมอรีลกับเอ็มมา สโตน

 

อ้างอิง:

FYI
  • เมอรีลได้รับรางวัล The Presidential Medal of Freedom จากประธานาธิบดีบารัก โอบามา ในปี 2014
  • เมอรีลถือสถิติการเข้าชิงรางวัลออสการ์มากสุดในสาขาการแสดง 21 ครั้ง

           – The Deer Hunter

           – Kramer vs. Kramer (ชนะ)

           – The French Lieutenant’s Woman

           – Sophie’s Choice (ชนะ)

           – Silkwood

           – Out of Africa

           – Ironweed

           – Evil Angels

           – Postcards from the Edge

           – The Bridges of Madison County

           – One True Thing

           – Music of the Heart

           – Adaptation

           – The Devil Wears Prada

           – Doubt

           – Julie & Julia

           – The Iron Lady (ชนะ)

           – August: Osage County

           – Into the Woods

           – Florence Foster Jenkins

           – The Post

 

 

 

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X