สำหรับ ราฟาเอล เบนิเตซ เกม ‘เมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี’ ไม่ใช่ของแปลกใหม่อะไร
ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่คุมลิเวอร์พูลมา เขาผ่านเกมดาร์บีแมตช์ครั้งนี้มานับไม่ถ้วน และด้วยความดีจากทั้งผลงานการคุมทีมในสนามที่สามารถพาทีมพิชิตแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ ลีกได้อย่างน่ามหัศจรรย์ในเกม ‘ปาฏิหาริย์แห่งอิสตันบูล’ ไปจนถึงการพาอดีตยักษ์หลับกลับมาผงาดอย่างน่าเกรงขามทั้งในอังกฤษและบนเวทียุโรป ก่อนจะถึงจุดสูงสุดด้วยการพาทีมคว้ารองแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2008/09 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทำให้เดอะค็อปได้กลับมาสัมผัสความรู้สึกหัวใจเต้นแรง เพราะอยากจะแซงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ให้ได้
เมื่อรวมกับการแสดงออกถึงความรักและความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับสโมสร โดยเฉพาะเรื่องของเหตุโศกนาฏกรรมที่สนามฮิลส์โบโรห์เมื่อปี 1989 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมจนถึงปัจจุบัน 97 ราย ซึ่งแม้ราฟาจะไม่ได้อยู่คุมลิเวอร์พูลแล้ว แต่หากมีโอกาสก็จะมาร่วมพิธีรำลึกในวันที่ 15 เมษายนเสมอ ทำให้กุนซือชาวสเปนผู้นี้เป็นหนึ่งในยอดดวงใจของแฟนบอลลิเวอร์พูล
อย่างไรก็ดี ด้วยวิถีชีวิตและโชคชะตา ‘เอล บอส’ ซึ่งไม่ได้อยู่ในสถานะของกุนซือมือต้นๆ ของยุโรปเหมือนเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน ได้รับโอกาสจากทีมคู่ปรับร่วมเมืองอย่างเอฟเวอร์ตัน และด้วยความเป็นมืออาชีพที่โหยหาความท้าทายในการทำงานระดับสูงสุด ราฟา เบนิเตซ จึงไม่คิดปฏิเสธข้อเสนอนี้แต่อย่างใด แม้ว่าจะเกิดความกังขาในหมู่ของแฟนบอลทั้งสองสโมสร
เพราะเขาเป็นเพียงคนที่สองในประวัติศาสตร์ที่มีโอกาสได้คุมทีมทั้งสองฟากแห่งสวนสแตนลีย์ และเป็นคนแรกนับตั้งแต่ปี 1894 เลยทีเดียว
แต่ความเป็นคนทำงานตัวจริงดูเหมือนเอล บอส จะไม่ยอมให้อารมณ์และความรู้สึกอยู่เหนือเหตุผล นั่นทำให้เขาประกาศอย่างชัดเจนต่อเหล่าเดอะค็อปก่อนเกมเมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บีในคืนนี้ที่กูดิสันพาร์ก
“ตอนนี้ผมอยู่สีน้ำเงินแล้ว และผมคิดว่าแฟนๆ (ลิเวอร์พูล) ก็รู้จักผมดี” ราฟากล่าวชัด “พวกเขา (แฟนเอฟเวอร์ตัน) ชื่นชมกับสิ่งที่ผมทำให้กับที่แห่งนั้น และตอนนี้พวกเขาก็รู้สึกดีที่ผมอยู่สีน้ำเงิน ผมอยากจะชนะและผมพยายามจะชนะเพื่อคว้า 3 คะแนนให้กับพวกเราให้ได้”
ในอดีตสำหรับนักเตะเอฟเวอร์ตันแล้ว เกมดาร์บีคือเกมที่พวกเขาเฝ้ารอคอย ในช่วงสัปดาห์ก่อนการแข่งขัน ภายในห้องแต่งตัวของสโมสรจะมีกระดาษแปะเอาไว้อยู่ โดยมีข้อความเตือนใจไว้นับถอยหลังก่อนจะถึงเกมเดือด
“Five more sleeps” “Four more sleeps” นับถอยหลังไปเรื่อยๆ จนถึงวันสงครามแห่งเมอร์ซีย์ไซด์ เกมดาร์บีที่ไม่เหมือนใครในโลก เพราะเป็นเกมดาร์บีในบรรยากาศของครอบครัว พ่ออาจจะเชียร์ลิเวอร์พูล แม่เชียร์เอฟเวอร์ตัน ส่วนลูกนั้นขึ้นอยู่กับว่าใครจะเอาใจลูกมากกว่ากันก็ได้คนนั้นไป
เพียงแต่เมื่อถึงคราวลงสนามแล้ว นี่คือเกมที่จะไม่มีใครยอมใครเด็ดขาด ใส่กันยับ บรรยากาศดุเดือดเลือดพล่าน ใบแดงและการวางมวยคือสิ่งที่คุ้นตา ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับเกมดาร์บีนัดนี้ แม้ว่าหลังจบเกมแล้วแฟนบอลจะกอดคอเดินล้อกันไประหว่างทางกลับบ้านก็ตาม
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับเกมนี้คือ ราฟาจะหาทางหยุดลิเวอร์พูล ทีมเก่าของเขา ที่กำลังร้อนแรงสุดๆ ไหวหรือไม่?
เพราะหลังจากเริ่มต้นฤดูกาลได้สวยหรูด้วยการชนะรวด 3 จาก 4 นัดแรก หลังจากนั้นฟอร์มของเอฟเวอร์ตันก็ยิ่งดิ่งเหวลงเรื่อยๆ จนหล่นมาถึงอันดับที่ 14 โดยพวกเขาไม่ชนะมาติดต่อกัน 7 นัด และหากนับรวม 9 นัดหลังสุดแล้ว นักเตะทอฟฟี่เมนผลงานเลวร้ายที่สุดในพรีเมียร์ลีก
เอฟเวอร์ตันชนะแค่ 1 นัด เสมอ 2 และแพ้ถึง 6 ด้วยกัน โดยยิงได้แค่ 6 ประตู และเสียมากถึง 16 ประตู ผลงานแย่ยิ่งกว่านิวคาสเซิล ยูไนเต็ด หรือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสียอีก
เหตุผลสำคัญคือ อาการบาดเจ็บของนักเตะแกนหลักหลายต่อหลายคนในช่วงที่ผ่านมา ทั้ง เยอร์รี มินา, อับดุลลาย ดูกูเร รวมถึงกองหน้าตัวเก่งอย่าง โดมินิก คัลเวิร์ต-เลวิน และ ริชาร์ลิสัน
ในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมาราฟายังมีงบให้ใช้จ่ายแค่ได้ 1.7 ล้านปอนด์ ซึ่งไม่ใช่เพราะเจ้าของสโมสรอย่าง ฟาฮัด โมชิริ ไม่มีเงินจะสนับสนุน แต่เพราะหลังทุ่มเงินมากกว่า 500 ปอนด์ในการเทกโอเวอร์สโมสรและซื้อผู้เล่นเข้ามาเสริมทีม ทำให้เอฟเวอร์ตันสุ่มเสี่ยงต่อการถูกลงโทษ
ดังนั้นถึงเหล่าเอฟเวอร์โตเนียนจะไม่ได้รักหรือพึงพอใจกับราฟาอะไรนักหนา เพราะยังแค้นฝังหุ่นกับคำพูดที่เขาเคยบอกสมัยยังคุมลิเวอร์พูลเมื่อปี 2007 ว่า “เอฟเวอร์ตันเป็นทีมเล็กๆ” แต่อย่างน้อยพวกเขาก็เข้าใจว่าปัญหาของสโมสรมันหยั่งรากฝังลึกมากกว่าจะโทษให้เป็นความผิดของผู้จัดการทีมแค่คนเดียว
แต่ถ้าแพ้ขึ้นมาในเกมนี้ก็มีโอกาสที่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ราฟาอยู่ในตำแหน่งได้เหมือนกัน เหมือนที่ โรเบร์โต มาร์ติเนซ และ มาร์โก ซิลวา เคยถูกปลดหลังแพ้ในเกมดาร์บี…
กระนั้นเกมเมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บีบ่อยครั้งก็ไม่ใช่เกมที่ใช้เหตุใช้ผลอะไรมากมายนัก ทีมที่ฟอร์มดีกว่า (ซึ่งส่วนใหญ่ในช่วง 3 ทศวรรษหลังคือลิเวอร์พูล) ก็ไม่ได้แปลว่าจะคว้าชัยชนะได้เสมอไป ซึ่งราฟาก็รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี
ในความเป็นชายผู้เคยมาพร้อมปาฏิหาริย์ที่แอนฟิลด์ บางทีเอฟเวอร์โตเนียนอาจจะได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ในเกมที่กูดิสันคืนนี้ก็เป็นได้เหมือนกัน
อ้างอิง: