8 เดือนที่แล้วลิเวอร์พูลอยู่ใกล้เคียงกับการสร้างประวัติศาสตร์ในการเป็นทีมแรกของอังกฤษที่คว้า 4 แชมป์มาครองได้ในฤดูกาลเดียว
แต่ 5 นาทีแห่งหายนะที่วิลลาพาร์ก ที่ Manchester City พลิกสถานการณ์จากการตามหลัง 2 ประตูกลับมาเอาชนะแอสตัน วิลลาได้ 3-2 พร้อมกับสีหน้าสุดเจื่อนของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หลังแฟนบอลที่อยู่ข้างหลังประตูพยายามบอกสกอร์ที่เกิดขึ้นในอีกสนาม ทั้งๆ ที่ลิเวอร์พูลเพิ่งจะยิงประตูนำวูล์ฟส์ได้ และอีกครั้งที่พวกเขาต้องพ่ายต่อเรอัล มาดริด ที่ได้ ติโบต์ กูร์ตัวส์ งัดฟอร์มที่ดีที่สุดของชีวิต ช่วยทำให้ทีมจากสเปนคว้าแชมป์ไปครอง
ความผิดหวังครั้งนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่าส่งผลกระทบอย่างหนักต่อสภาพจิตใจของผู้เล่นที่กรำศึกหนักต่อเนื่องยาวนาน ไม่ใช่แค่เฉพาะในฤดูกาลที่แล้วที่กัดฟันสู้ตายถึง 63 นัดในทุกรายการ (และได้มา 2 แชมป์) แต่พวกเขาต้องต่อสู้แบบนี้มาตลอด 3-4 ฤดูกาล โดยเฉพาะในการแลกหมัดกับทีมที่ดีที่สุดของอังกฤษอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้
เพลง คนอกหักพักบ้านนี้ ที่ดังขึ้นในใจของนักเตะลิเวอร์พูล ถูกซ้ำเติมให้หนักขึ้นด้วยโปรแกรมในฤดูกาลใหม่ 2022/23 ที่มีความจำเป็นต้องเริ่มต้นเร็ว เพราะมีฟุตบอลโลกคั่นกลางฤดูกาล บวกกับการที่สโมสรตัดสินใจรับงานทัวร์เดินทางมาเอเชีย ทำให้นอกจากนักเตะจะยังไม่หายช้ำทั้งร่างกายและจิตใจจากการกรำศึกหนักต่อเนื่องแล้ว ผู้จัดการทีมอย่าง เจอร์เกน คล็อปป์ ก็ไม่สามารถ ‘เคลียร์แรม’ ทั้งสมอง ร่างกาย และจิตใจ ของนักเตะในทีมได้อย่างเต็มที่เหมือนในปีก่อนหน้าที่ไปเก็บตัวกันในแคมป์ที่เมืองเอวิยอง ประเทศฝรั่งเศส จนทำให้ทีมกลับมามีลุ้นถึง 4 แชมป์
Workload ของนักเตะลิเวอร์พูลสูงอย่างน่าตกใจ ยกตัวอย่างเช่น ซาลาห์ที่ย้ายมาจากโรมาในปี 2017 นับตั้งแต่นั้นมาเขาลงเล่นถึง 96% ของจำนวนเกมพรีเมียร์ลีกและยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก (262 จาก 273 นัด) คิดเป็นจำนวน 23,347 นาที มากขนาดไหน? มากกว่าที่เออร์ลิง ฮาลันด์ ลงเล่นในระดับสโมสรตลอดชีวิตถึงเกือบ 9,000 นาที
ขณะที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีมที่เป็นเหมือนแหล่งกำเนิดพลังงานของทีม ลงเล่นในฤดูกาล 2021/22 ถึง 57 นัด มากกว่านักเตะทุกคนในลีก Big Five ของยุโรป
ความอ่อนล้ามาบวกกับทีมชุดนี้มีผู้เล่นหลายคนที่อายุมาก ไม่ว่าจะเป็นเฮนเดอร์สันที่กำลังจะอายุครบ 32 ปี, ติอาโก อัลกันตารา อายุ 31 ปีเท่ากับ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, โรแบร์โต เฟอร์มิโน และ โจเอล มาทิป ขณะที่ซาลาห์อายุ 30 ปี ส่วน เจมส์ มิลเนอร์ อายุ 37 ปีแล้ว แต่ยังมีบทบาทสำคัญในทีม
Ageing-Squad เป็นปัญหาที่เคยบ่อนทำลายลิเวอร์พูลยุคทองมาแล้วหลังได้แชมป์ลีกดิวิชัน 1 ในฤดูกาล 1989/90 และมันกำลังหวนกลับมาอีกครั้ง
แต่ที่หนักกว่านั้นคือ นี่ไม่ใช่ปัญหาทั้งหมดที่ลิเวอร์พูลเผชิญในฤดูกาลนี้
การสูญเสีย ซาดิโอ มาเน เป็นความสูญเสียที่ประเมินค่าไม่ได้และทำลายองค์ประกอบสำคัญในระบบการเล่นแบบ Gegenpressing ของคล็อปป์ เพราะเกมรับนั้นเริ่มจากกองหน้าที่ต้องเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันกดดันคู่แข่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่หายไปอย่างสิ้นเชิงในฤดูกาลนี้ และนำไปสู่ปัญหาลุกลามสู่จุดอื่นๆ
นอกสนามคล็อปป์สูญเสียมือทำงานที่เก่งกาจไปหลายคน ในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมาลิเวอร์พูลเสีย จิม ม็อกซอน แพทย์ประจำสโมสร, มาร์ค เลย์แลนด์ นักวิเคราะห์ ไปจนถึง ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ผู้อำนวยการสโมสรที่เป็นเหมือนเงาในความสำเร็จของคล็อปป์และทีม
ทายาทของเอ็ดเวิร์สอย่าง จูเลียน วอร์ด ประกาศจะอำลาทีมหลังจบแค่ฤดูกาลนี้ ซึ่งจะไปพร้อมกับ เอียน เกรแฮม นักวิเคราะห์ที่กลายเป็นคนดังในวงการจากผลงานการวิเคราะห์เกมระดับสุดยอดของเขา
และเหนือสิ่งอื่นใดคือ ไมค์ กอร์ดอน ประธาน FSG ที่เป็นศูนย์กลางเชื่อมการทำงานระหว่างฝ่ายของทีมที่นำโดยคล็อปป์และฝ่ายหลังบ้านที่นำโดยเอ็ดเวิร์ดส์ ซึ่งประกาศเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาที่จะถอนตัวจากงานในการดูแลลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นช่วงที่สโมสรกำลังมองหาผู้ร่วมลงทุนใหม่
เรียกได้ว่าปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ระเบิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ลิเวอร์พูลที่ลุ้น 4 แชมป์เมื่อ 8 เดือนก่อน อยู่ในสภาพที่แทบไม่เหลือสภาพ
การแพ้วูล์ฟส์ 0-3 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นำไปสู่การประกาศกร้าวของคล็อปป์ที่หมดความอดทนกับทีม ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนแปลงในเกมสำคัญในศึก ‘เมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บีแมตช์’ ในค่ำคืนนี้
คล็อปป์ก็หมดสภาพเหมือนกันในเกมที่แพ้วูล์ฟส์ เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว
งานที่คล็อปป์ไม่เคยทำ
สีหน้าแทบไม่อยากเชื่อสายตากับสิ่งที่ได้เห็นในเกมที่โมลินิวซ์กราวด์ เมื่อทีมพลาดท่าเสียประตูง่ายๆ ถึง 2 ประตูในช่วง 12 นาทีแรกของคล็อปป์ มันคือวินาทีที่เขาได้คำตอบบางอย่าง
อย่างแรกทีมต้องมีการเปลี่ยนแปลงทันที จะไม่ยอมปล่อยให้เป็นแบบนี้อย่างเด็ดขาด
อย่างที่สอง เขาจะไม่ทิ้งทีมไปไหน และจะต้องพยายามหาทางพาลิเวอร์พูลกลับมาเป็นทีมฟุตบอลที่ดีอีกครั้งให้ได้ อย่างน้อยคือระหว่างที่ยังมีสัญญาในแอนฟิลด์อีก 2 ปี
อย่างไรก็ดี สิ่งที่คล็อปป์กำลังจะทำนั้นเป็นสิ่งที่เขาเองก็ไม่เคยทำมาก่อน เพราะตลอดการคุมทีม 23 ปีที่ผ่านมา ระยะเวลาที่เขาอยู่กับสโมสรยาวนานที่สุดคือ 7 ปีเท่านั้น ไม่ว่าจะกับไมนซ์ 05 หรือโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และนั่นเป็นสิ่งที่ผู้คนตั้งคำถามว่า กุนซือชาวเยอรมันจะเอาชนะ ‘อาถรรพ์ปีที่ 7’ ของตัวเองได้ไหม?
ผ่านอะไรมามากมายขนาดนี้ เขายังเหลือแรงที่จะสร้างอะไรขึ้นมาใหม่อีกเหรอ?
แต่จากปากคำของคล็อปป์เขายืนยันว่า สถานการณ์ที่ลิเวอร์พูลในเวลานี้แตกต่างจากที่ไมนซ์และดอร์ทมุนด์มาก
ที่ไมนซ์หลังครบ 7 ปีเขาเชื่อว่ามัน ‘ถึงเวลาที่จะต้องก้าวไปขั้นที่สูงกว่า’ พอดี และเมื่อมีโอกาสจากดอร์ทมุนด์มาก็คิดว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม ในขณะที่กับทีมเสือเหลืองนั้นในปีที่ 7 เขารู้สึก ‘หมดแรง’ และอยากจะพักผ่อน
กับลิเวอร์พูลนั้นต่างออกไป คล็อปป์ยืนยันว่า เขาไม่ได้เหน็ดเหนื่อยและยิ่งรู้สึกมีพลังมากกว่าเดิมที่จะหาทางพาทีมกลับมาให้ได้
ข่าวดีคือฝ่ายบริหารของลิเวอร์พูลที่แม้กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาหาผู้ร่วมทุนรายใหม่ที่อาจเป็นไปได้ทั้งการเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อย เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ หรือเทกโอเวอร์สโมสร แต่สิ่งที่คล็อปป์ได้รับการการันตีแล้วคือสโมสรจะ ‘สนับสนุน’ เขาอย่างเต็มกำลังในการสร้างทีมชุดใหม่ด้วยเงินทุนมหาศาล
มหาศาลที่ว่านั้นถูกประเมินอยู่ในระดับ 250 ล้านปอนด์ หรือเกือบ 50% ของจำนวนเงินที่คล็อปป์ใช้ตลอดระยะเวลา 7 ปีครึ่งที่ผ่านมา
โดยนักเตะเป้าหมายหลักที่นักวิเคราะห์เชื่อคือ จูด เบลลิงแฮม กองกลางที่สว่างไสวที่สุดในวงการฟุตบอลอังกฤษที่มีค่าตัวประเมิน 150 ล้านยูโร และอีกคนคือ มาเตอุส นูเญส กองกลางทีมชาติโปรตุเกสของวูล์ฟส์ ซึ่งเป็นนักเตะเป้าหมายเดิมที่คล็อปป์ชื่นชอบมานาน
ในส่วนของงานหลังบ้านโดยเฉพาะในส่วนของนักวิเคราะห์นั้น ลิเวอร์พูลได้แต่งตั้ง วิลล์ สเปียร์แมน ขึ้นเป็นผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยคนใหม่ที่จะสานงานต่อจาก เอียน เกรแฮม ที่จะอำลาทีมหลังจบฤดูกาลนี้ ซึ่งความจริงก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล เพราะสเปียร์แมนซึ่งอยู่กับลิเวอร์พูลมาตั้งแต่ปี 2018 ก็อยู่ในทีมเดียวกับเกรแฮมนั่นเอง
กระบวนการสร้างทีมใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่คล็อปป์ไม่เคยทำได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
แต่มันจะยากขึ้นไปอีก หากทีมไม่สามารถจบฤดูกาลได้อย่างสวยงามที่สุดเท่าที่ควรจะเป็น
บรรยากาศในการซ้อมดูจะเริ่มกลับมาดีอีกครั้ง เช่นเดียวกับการกลับมาของแกนหลักอย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค
เมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี จุดยูเทิร์นที่คล็อปป์ต้องการ
หากจะบอกว่าจุดเปลี่ยนที่ทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พลิกสถานการณ์จากจุดเลวร้ายที่สุดเมื่อแพ้ 2 นัดแรกของฤดูกาล จนกลายมาเป็นทีมที่แอบมีลุ้นแชมป์ในเวลานี้คือ การเอาชนะลิเวอร์พูลได้ในเกมแดงเดือดเมื่อต้นฤดูกาล
ลิเวอร์พูลก็มีโอกาสแบบนั้นในเกมเมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บีแมตช์ในคืนนี้
ย้อนกลับไปหลังจากพ่ายเบรนท์ฟอร์ดแบบหมดสภาพ สิ่งที่ เอริก เทน ฮาก ทำคือการสั่งลูกทีมมาซ้อมหนักทันที โดยหนึ่งในสิ่งที่ทำคือการวิ่งอย่างหนักถึง 13 กิโลเมตร โดยที่ผู้จัดการทีมชาวดัตช์ ‘ซื้อใจ’ ลูกทีมด้วยการวิ่งไปด้วยกัน ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดี
ก่อนที่จะค่อยๆ แก้ปัญหาของทีมด้วยการกำจัดจุดอ่อนไปทีละคน ตั้งแต่ แฮร์รี แม็กไกวร์, เฟร็ด, สกอตต์ แม็กโทมิเนย์, วิกเตอร์ ลินเดอเลิฟ เพื่อให้ทีมค่อยๆ หาทางกลับมา
คล็อปป์เองก็มีการทำในสิ่งที่คล้ายกันในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว โดยหลังจากที่แพ้วูล์ฟส์แบบหมดสภาพ กุนซือชาวเยอรมันได้เรียกนักเตะทุกคนมาประชุมร่วมกันในวันอาทิตย์ที่แล้ว
นอกจากจะวิเคราะห์จุดที่ผิดพลาดของทุกคนแล้ว คล็อปป์ยังมีการ ‘เปิดใจ’ พูดทุกอย่างที่อยากพูด เรียกว่าเคลียร์กันไปเลย ก่อนที่จะมีการสั่งให้ทุกคนไปพักเป็นเวลา 2 วัน เพราะเจ้าตัวเชื่อว่าหลังการพูดกันหมดเปลือก มันจะเป็นการดีกว่าที่จะไม่เจอหน้ากันสักพัก
ตามถ้อยคำของคล็อปป์ เขาเชื่อว่ามันได้ผลดี เพราะตัวเขาเองที่อารมณ์ไม่ได้ดีนักก็กลับมาอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิม และทีมเองก็ดูจะมีการตอบสนองในทางที่ดี โดยสังเกตได้จากการลงซ้อมที่ดูทุกคนกลับมามีสมาธิและเต็มที่อีกครั้ง
ข่าวดีเพิ่มเติมคือ การที่พวกเขาจะได้นักเตะคนสำคัญที่หายไปนานทยอยกลับมาอย่าง ดิโอโก โชตา, โรแบร์โต เฟอร์มิโน ที่จะช่วยแนวรุกของทีมได้มากในระหว่างที่นักเตะใหม่อย่าง ดาร์วิน นูนเญซ และ โคดี กักโป ยังต้องเรียนรู้วิถีการเล่นในแบบของคล็อปป์อีกมาก (โดยให้คะแนนเห็นใจที่มาในปีที่ทีมกำลังมีปัญหาหนักพอดีอีก)
อีกคนที่กลับมาคือฟาน ไดจ์ค หลังเจ็บกล้ามเนื้อหลังโคนขาไป ลิเวอร์พูลก็อยู่ในภาวะวิกฤต เพราะกองหลังที่เหลือไม่ว่าจะเป็น โจเอล มาทิป, โจ โกเมซ หรือ อิบราฮิมา โกนาเต ไม่สามารถช่วยเกมรับของทีมได้เลย จนกลายเป็นทีมที่พร้อมเสียประตูตลอดเวลา
อย่างไรก็ดี ทั้งหมดนี้มันจะมีความหมายก็ต่อเมื่อพวกเขาเก็บชัยชนะเหนือเอฟเวอร์ตัน คู่ปรับร่วมเมืองได้ในคืนนี้ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่เคยเป็นเกมที่ง่ายและมันจะไม่ใช่เกมที่ง่ายอย่างแน่นอน เพราะเอฟเวอร์ตันก็มีภารกิจของตัวเองที่ต้องลุ้นหนีตกชั้นเหมือนกัน
สำคัญคือพวกเขาเองเพิ่งได้สัมผัสสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงมาหลังการเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ของ ฌอน ไดช์ ที่คุมทีมนัดแรกก็เอาชนะจ่าฝูงอาร์เซนอลได้ทันที ซึ่งเอฟเวอร์ตันไม่มีวันเห็นใจลิเวอร์พูล พวกเขาพร้อมจะขยี้ทีมร่วมเมืองให้จมดินอยู่แล้ว
มันจึงขึ้นอยู่กับคล็อปป์และทีมของเขาว่าจะหาทางกลับมาได้หรือไม่
เมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บีเป็นโอกาสสำคัญ เป็นยูเทิร์นที่อาจพาทีมกลับมาได้ แต่พวกเขาจะวกกลับทันไหม คำตอบอยู่ที่ 90 นาทีที่แอนฟิลด์คืนนี้
อ้างอิง:
- https://www.thetimes.co.uk/article/juergen-klopp-tells-critics-have-the-balls-to-go-for-me-not-my-staff-w7pcgrnp2
- https://www.thetimes.co.uk/article/juergen-klopp-saw-liverpools-decline-coming-if-anyone-can-fix-things-he-can-zw8zwxw5n
- https://www.thetimes.co.uk/article/liverpool-to-back-juergen-klopp-for-summer-rebuild-ssnlx57f3
- https://www.liverpoolecho.co.uk/sport/football/football-news/spearman-handed-key-role-liverpool-26220796?fbclid=IwAR1UKxnNG9nB_GFbP9N61g9L0A2jRZVfYxxqxLLGy1ekNqIUpogepyF-Yr4&mibextid=uc01c0