เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาเป็นวันพิเศษสำหรับ ลิเวอร์พูล เนื่องจากเป็นวันครบรอบ 10 ปีที่สโมสรได้กลุ่ม NESV หรือ FSG ในเวลาต่อมาเข้ามาเทกโอเวอร์กิจการสโมสรต่อจาก ทอม ฮิคส์ และ จอร์จ จิลเล็ตต์ ซึ่งนำอดีตมหาอำนาจของวงการลูกหนังอังกฤษตกต่ำถึงขั้นใกล้ล้มละลาย
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ลิเวอร์พูล ค่อยๆ กลับสู่เส้นทาง และใช้เวลาร่วม 10 ปีเต็มในการทำความฝันให้เป็นจริงด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก หรือแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศได้เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี
อย่างไรก็ดี หากย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หลังการตัดสินของศาลสูงที่ลอนดอนให้กลุ่ม NESV ที่นำโดย จอห์น เฮนรี นักธุรกิจกีฬาชาวอเมริกันเป็นผู้ชนะได้สิทธิ์ในการเทกโอเวอร์ได้ 2 วัน กลุ่มทุนจากดินแดนแห่งเสรีภาพมีโอกาสได้ชมเกมฟุตบอลหรือที่พวกเขารู้จักมักคุ้นในชื่อ ‘ซอคเกอร์’ ทันที
เกมนั้นไม่ใช่เกมธรรมดาหากแต่เป็นเกมระหว่าง 2 คู่ปรับร่วมเมืองที่เรียกกันว่าเกม ‘ดาร์บี แมตช์’ ซึ่งสำหรับชาวเมืองลิเวอร์พูลเรียกขานกันในชื่อศึก ‘เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี’ ตามชื่อของแม่น้ำสายใหญ่ที่เป็นหัวใจของเมือง
เฮนรี และคณะไม่ได้เดินทางไปไกลจากสนามแอนฟิลด์ ฐานบัญชาการอีกแห่งของเขานอกเหนือจากที่เฟนเวย์พาร์ก สนามเบสบอลสุดคลาสสิกของทีม บอสตันเรดซ็อกซ์ ที่เขาภาคภูมิใจ เพราะสนามกูดิสันพาร์ก ของ เอฟเวอร์ตัน นั้นอยู่ห่างออกไปเพียงแค่สวนสแตนลีย์คั่นกลางและข้างกัน
ถึงจะมีความคาดหวังว่าการเปลี่ยนแปลงเจ้าของสโมสรจะทำให้บรรยากาศที่เป็นพิษในทีมหมดไปและนำชัยชนะมาสู่ทีมได้ แต่ชีวิตไม่ได้ง่ายเหมือนอธิษฐานขอพรตอนเป่าเทียน
เอฟเวอร์ตัน ชนะ ลิเวอร์พูล ได้ 2-0 ในเกมนั้น และเอฟเวอร์โตเนียนสักคนในสนามแห่งนั้นได้เหน็บแนมกับ เฮนรี แบบเบาๆ ตามประสาคู่ปรับ
“จอห์น คุณซื้อผิดทีมแล้ว”
โดยที่เอฟเวอร์โตเนียนรายนั้นไม่มีทางรู้เลยว่านั่นจะเป็นชัยชนะครั้งสุดท้ายที่ เอฟเวอร์ตัน สยบ ลิเวอร์พูล ได้ และพวกเขาไม่เคยได้สัมผัสความรู้สึกของการเป็นผู้ชนะอีกเลยในเกม เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เพียงแต่เกม เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี (ซึ่งเกิดขึ้น 2 วันหลังวันครบรอบการเทกโอเวอร์ของ FSG พอดีเหมือน 10 ปีที่แล้วเป๊ะ!) จะเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี หรือหากจะย้อนประวัติศาสตร์ไปไกลกว่านั้นก็อาจนับเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีที่ เอฟเวอร์ตัน นอกจากจะมีอันดับที่เหนือกว่าด้วยแล้ว
พวกเขายังมีความเชื่อเต็มเปี่ยมด้วยว่านี่แหละคือวันประกาศศักดาที่อดทนเฝ้ารอคอยมาตลอด
โดมินิก คัลเวิร์ต-เลวิน (ซ้าย) และ ฮาเมส โรดริเกซ สองดาวเด่นประจำทีม เอฟเวอร์ตัน
คืนชีพทอฟฟี่ ‘The Italian Job’ ของ อันเชล็อตติ
ลงแข่ง 4 นัดชนะรวด 4 นัดในพรีเมียร์ลีก หรือหากจะนับทุกรายการ 7 นัดก็ชนะรวด 7 นัด
เอฟเวอร์ตัน นำจ่าฝูงด้วยฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมจนต้องปรบมือให้ และทำให้ความมั่นใจของพวกเขาทะยานสูงติดฟ้า
มากกว่านั้นคือ ‘ความภูมิใจ’ ในสโมสรกลับมาอีกครั้งหลังจากไม่เคยได้สัมผัสความรู้สึกแบบนี้อีกเลยนับตั้งแต่เข้ายุค 90 โดยผู้คนแทบไม่มีใครจดจำได้แล้วว่าในยุคที่ ลิเวอร์พูล เคยเป็นสุดยอดทีมของอังกฤษและยุโรปในยุค 80 นั้น คู่แข่งของพวกเขาก็คือคู่ปรับร่วมเมืองทีมนี้นั่นเอง
การกลับมาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมของ เอฟเวอร์ตัน นั้นต้องยกเครดิตให้แก่ยอดกุนซือชาวอิตาเลียนอย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ ที่ตกลงรับงานที่กูดิสันพาร์ก สโมสรที่คนจำนวนมากกล่าวว่าไม่คู่ควรกับฝีมือกุนซือระดับขึ้นหิ้งที่ประสบความสำเร็จมามากมายอย่างเขา
บ้างมองว่า ‘คาร์เล็ตโต’ คงจะไม่เหลือลายแล้ว โดยเฉพาะเมื่อวงการฟุตบอลมียอดโค้ชรุ่นใหม่อย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา, เจอร์เกน คล็อปป์, ซีเนดีน ซีดาน มาจนถึง มิเกล อาร์เตตา ที่ก้าวขึ้นมายึดหัวหาดกุนซือระดับแนวหน้าของโลกลูกหนัง
แต่ อันเชล็อตติ ผู้ผ่านการคุมทีมยักษ์ใหญ่มาแล้วทุกประเทศในท็อป 5 ของยุโรปกลับทำให้ทุกคนตะลึงด้วยการเปลี่ยนแปลง เอฟเวอร์ตัน จากทีมที่เล่นไม่เป็นแก่นสารให้กลับมาเป็นทีมที่มีระบบการเล่นที่ลงตัว สไตล์ที่สวยงาม เช่นเดียวกับการรีดเร้นศักยภาพนักเตะในทีม
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดเกิดขึ้นในช่วงตลาดการซื้อขายฤดูร้อนรอบที่ผ่านมาซึ่ง เอฟเวอร์ตัน สร้างความฮือฮาด้วยการเสริมกองกลางเข้ามารวดเดียวถึง 3 รายด้วยกันได้แก่ อัลลัน ฮาร์ดแมน จาก นาโปลี, อับดุลลาย ดูกูเร มิดฟิลด์ไม่ธรรมดาจาก วัตฟอร์ด และที่สร้างความฮือฮาที่สุดคือการได้ตัว ฮาเมส โรดริเกซ จอมทัพลูกหนังระดับซูเปอร์สตาร์จาก เรอัล มาดริด
การซื้อกองกลางเข้ามารวดเดียว 3 คนสร้างความประหลาดใจระคนกังวลใจว่า อันเชล็อตติ เพี้ยนไปแล้วหรือไม่
แต่เมื่อฤดูกาลเปิดฉากกองกลางทั้ง 3 รายซึ่งยึดตัวจริงทันทีตั้งแต่แรกก็สร้างความประหลาดใจให้ทุกคนในทางที่ดีเมื่อต่างเล่นผสมผสานกันได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะเกมแรกของฤดูกาลที่บุกไปเอาชนะ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ของ โชเซ มูรินโญ ได้ตั้งแต่นัดแรก
อัลลัน รับหน้าที่ปัดกวาดเช็ดถูหน้าแนวรับโดยมี ดูกูเร ทำหน้าที่ฟันเฟืองช่วยขับเคลื่อน แต่ที่เซอร์ไพรส์ที่สุดคือ ฮาเมส ที่เคยถูกมองว่าเป็นนักเตะหมดสภาพไปแล้วหลังโดนจับดองเป็นปีในทีม เรอัล มาดริด กลับพิสูจน์ภาษิตลูกหนังโบราณให้เห็นว่า Form is Temporary, Class is Permanent หรือชั้นเชิงลูกหนังเป็นสิ่งที่ติดตัวอยู่ตลอดกาล
การสร้างสรรค์และควบคุมจังหวะเกมของ ฮาเมส เป็นไปในแบบกองกลางหมายเลข 10 ฉบับคลาสสิกที่หาชมได้ยากในปัจจุบัน การเล่นที่เรียบง่าย การผ่านบอลที่คมกริบเหมือนใบมีด ช่วยเพิ่มมิติในการเล่นให้กับ เอฟเวอร์ตัน กลายเป็นทีมชั้นดีโดยพลัน
ยังมีอีกหนึ่งคนที่เปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างมากคือ โดมินิก คัลเวิร์ต-เลวิน กองหน้าที่แบกสถานะดาวรุ่งของทีมมาหลายปีแต่ไม่สามารถแจ้งเกิดแบบเต็มตัวได้ แต่ภายใต้การสอนของ อันเชล็อตติ กองหน้าวัย 24 ปีแปลงร่างกลายเป็นกองหน้าที่ร้อนแรงที่สุดของอังกฤษในเวลานี้
ถึงแม้จะมีรูปร่างสูงใหญ่ มีเทคนิคการเล่นที่ดี แต่คุณสมบัติพิเศษที่ อันเชล็อตติ มองเห็นในตัว คัลเวิร์ต-เลวิน คือความสามารถในการหาโอกาสทำประตูที่คล้ายกับ ฟิลิปโป อินซากี อดีตศิษย์เอกของเขาที่เคยปั้นจนกลายเป็นดาวยิงระดับชั้นนำของวงการฟุตบอล
แท็กติกใหม่ของ อันเชล็อตติ ทำให้ คัลเวิร์ต-เลวิน เล่นได้เต็มประสิทธิภาพของตัวเอง และทำประตูได้ทุกนัดที่ลงสนามในพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นการทำแฮตทริกได้ 2 ครั้ง ซึ่งนอกจากการหาโอกาสจบสกอร์ที่ดีแล้ว อีกหนึ่งไม้ตายที่กลายเป็นทีเด็ดคือลูกกลางอากาศที่ทำให้หลายคนคิดถึง ‘บิ๊กดังก์’ ดันแคน เฟอร์กูสัน อดีตศูนย์หน้าเจ้าเวหาฮีโร่ของทีมในยุค 90
ด้วยความลงตัวของทีม ขุมกำลังที่แข็งแกร่งขึ้นจากเดิมอย่างมีนัยสำคัญ ความมั่นใจ และมันสมองของ อันเชล็อตติ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เอฟเวอร์ตันมั่นใจ
ว่า เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี ครั้งนี้จะเป็นทีของพวกเขา และจะเป็นก้าวสำคัญในการทวงความยิ่งใหญ่กลับมาอีกครั้ง
ความปราชัย 7-2 ต่อ แอสตัน วิลลา ไม่ได้เป็นแค่ฝันร้ายแต่ยังเป็นการส่งสัญญาณอันตรายของ ลิเวอร์พูล
Wake up Call ของแชมป์
แม้เริ่มต้นฤดูกาลได้สวยงามพอใช้ได้ และคึกคักเข้าไปอีกเมื่อเสริมทัพโดนใจแฟนบอลด้วยกองกลางระดับเวิลด์คลาสของจริงอย่าง ติอาโก อัลกันตารา และกองหน้าอเนกประสงค์อนาคตไกลอย่าง ดีโอโก โชตา แต่การที่ ลิเวอร์พูล ปราชัยแบบย่อยยับระดับเป็นสถิติของสโมสรต่อ แอสตัน วิลลา ถึง 2-7 ทำให้คนทั้งวงการเริ่มตั้งข้อสงสัยต่อแชมป์อย่าง ลิเวอร์พูล
โดยเฉพาะกับเกมรับที่เห็นได้ชัดว่าแตกต่างจากในฤดูกาลที่แล้วที่พวกเขาเคยแข็งแกร่งและเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ ลิเวอร์พูล โกยแต้มหนีคู่แข่งก่อนสุดท้ายจะเป็นแชมป์ลีกสมใจได้ในที่สุด
วันนี้เกมรับของแชมป์กลับเปราะบางเหมือนขนมบิสกิตที่พร้อมจะแตกหัก แผนการตั้งรับแบบยืนสูง (High Line) กลายเป็นดาบสองคมที่หันกลับมาเชือดคอตัวเองให้เห็นหลายครั้ง ซึ่งต้องนับย้อนกลับไปถึงในเกมที่พ่าย วัตฟอร์ด ซึ่งเป็นการแพ้นัดแรกของฤดูกาลที่แล้ว นักเตะเริ่มสูญเสียความมั่นใจ โดยเฉพาะ โจ โกเมซ ที่ฟอร์มหลุดจนน่าใจหาย และ อาเดรียน ประตูสำรองที่ต้องทำหน้าที่แทน อลิสซัน ซึ่งบาดเจ็บต้องพักยาวอีกร่วมเดือน
แม้กระทั่งคนที่เคยพึ่งพาได้เสมออย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค เองก็ไม่สามารถประคับประคองทีมได้ไหวในยามนี้
หายนะที่ วิลลา พาร์ก จึงเป็นการเตือนสติ ลิเวอร์พูล และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจอร์เกน คล็อปป์ ครั้งใหญ่ว่าพวกเขาจำเป็นจะต้องทบทวนบทเรียนเป็นการเร่งด่วนและเรียกฟอร์มการเล่นเก่ากลับมาให้ได้
ที่ผ่านมาสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของ ลิเวอร์พูล คือการเป็นหนึ่งเดียวกัน และการพยายามเล่นเพื่อคนอื่นในทีม ซึ่งเหมือนจะลดน้อยลงไปโดยเฉพาะในช่วงที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีมประสบปัญหาอาการบาดเจ็บลงสนามช่วยทีมไม่ได้
เฮนเดอร์สัน ได้รับการยกย่องอย่างมากในฐานะกองกลางที่ร้อยรัดให้ทุกคนในทีม ลิเวอร์พูล เล่นเป็นหนึ่งเดียวกัน กระตุ้นเพื่อนร่วมทีมให้ทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ ขณะที่การเล่นของตัวเองก็ช่วยทีมได้มากไม่ว่าจะในเกมรับหรือเกมรุกซึ่งพัฒนาการผ่านบอลระยะยาวให้กลายเป็นอาวุธเด็ด
อีกรายที่พร้อมกลับมาลงสนามอีกครั้งคือ ติอาโก อัลกันตารา หลังจากที่สร้างความฮือฮาในเกมแรกที่พบกับ เชลซี ด้วยการทำสถิติการผ่านบอลในช่วงครึ่งเวลาเดียวถึง 75 ครั้ง เป็นสถิติระดับพรีเมียร์ลีก แต่หลังจากนั้นเกิดติดเชื้อโควิด-19 จนไม่ได้ลงเล่นอีกเลย
ทั้งนี้หาก เฮนเดอร์สัน และ ติอาโก พร้อมจะช่วยทีม ก็จะทำให้ ลิเวอร์พูล กลับมาดูแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง ส่วนแนวรุกนั้นพวกเขาจะได้ ซาดิโอ มาเน ที่หายจากโควิด-19 กลับมาช่วยทีมเหมือนเดิม ขณะที่ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ปีนี้กลับมาเล่นได้อย่างร้อนแรงและเป็นความหวังของทีมอยู่แล้ว
คนที่น่ากังวลที่สุดใน 3 ประสานแนวรุกที่จะเล่นด้วยกันเป็นฤดูกาลที่ 4 คือ โรแบร์โต เฟอร์มิโน ที่ฟอร์มกับ ลิเวอร์พูล ตกลงไปมากโดยเฉพาะเรื่องการทำประตู ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกที่เมื่อกลับไปรับใช้ทีมชาติบราซิลกลับเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมราวกับคนละคน
แต่หมายเลข 9 ของ ‘หงส์แดง’ นั้นไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่การทำประตู ความสำคัญของ เฟอร์มิโน คือการเล่นเชื่อมกับคนอื่นในทีมซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครในทีมทำแทนได้รวมถึง ทาคุมิ มินามิโนะ ที่ถูกคาดหวังว่าจะพอทดแทนได้บ้างในฤดูกาลนี้แต่ก็ยังทำไม่ได้ดีพอ
ดังนั้น แม้จะช็อกจากความปราชัยย่อยยับเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน แต่เวลาที่พักจากโปรแกรมทีมชาติช่วยบรรเทาความรู้สึกไปบ้าง และการกลับมาของนักเตะหลายคนในทีมทำให้องค์ประกอบในทีมดีขึ้น
เกม เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี นัดนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีเช่นกันสำหรับลิเวอร์พูลที่จะส่งสัญญาณให้ทุกทีมกลับ
ว่านี่คือแชมป์ และพวกเขายังต้องการที่จะป้องกันตำแหน่งเอาไว้ให้ได้
และด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมด จึงน่าจะพอทำให้เห็นภาพได้ชัดขึ้นแล้วว่าทำไมนี่จึงเป็น เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี ที่มีความหมายมากที่สุดในรอบ 10 ปี
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
- ในการพบกันเมื่อ 10 ปีที่แล้วทั้ง เอฟเวอร์ตัน และ ลิเวอร์พูล อยู่ในสภาพเลวร้ายด้วยกันทั้งคู่ โดยทีมทอฟฟี่สีน้ำเงินอยู่ในอันดับที่ 17 ส่วน ลิเวอร์พูล อยู่ในโซนตกชั้นอันดับที่ 18 ซึ่งหลังเกมจบด้วยชัยชนะของ เอฟเวอร์ตัน ทำให้ ‘หงส์แดง’ ตกไปอยู่อันดับที่ 19
- หลังจากนั้นทั้งสองทีมพบกัน 22 ครั้ง ลิเวอร์พูล ไม่แพ้อีกเลย (ชนะ 11 เสมอ 11)
- 7 จาก 8 นัดหลังสุดที่พบกันที่ กูดิสันพาร์ก จบลงด้วยการเสมอ
- 3 นัดหลังสุดในเกม เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี ที่ กูดิสันพาร์ก จบลงด้วยการเสมอ 0-0
- นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกันยายน 1989 ที่ เอฟเวอร์ตัน นั่งแท่นจ่าฝูงก่อนเกม เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี
- แม้จะเป็นคู่ปรับร่วมเมืองที่ยามลงแข่งไม่มีใครยอมใคร แต่ ลิเวอร์พูล และ เอฟเวอร์ตัน มีสายสัมพันธ์พิเศษที่เดินกอดคอไปด้วยกันหลังจบเกมได้ และมีหลายครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นแฟนบอลของทั้งสองทีมแต่อยู่ร่วมกันได้