บรรยากาศที่ ‘เดอะ เคนนี’ หรือสนามเคนิลเวิร์ธโรด รังเหย้าที่เล็กจนเหลือเชื่อของลูตัน ทาวน์ ยังคงเร่าร้อนแต่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของกองเชียร์เจ้าถิ่นที่ใกล้จะเป็นผู้ชนะในทางความรู้สึก
ทีมน้องใหม่ที่เป็นรองสุดกู่สามารถทำประตูทีมเต็งแชมป์ที่ว่ากันว่ามีเกมรับที่แข็งแกร่งที่สุดในลีกอย่างอาร์เซนอลได้ถึง 3 ประตู ในรูปเกมที่พลิกผันกันไปมา โดยที่นักเตะชุดสีแสดต่างรวมพลังเป็นหนึ่งเดียวกับแฟนในสนามพยายามต้านทานพลังเกมรุกของกันเนอร์สได้อย่างสุดกำลัง
เรื่องมันควรจะจบลงที่ผลเสมอ 3-3 เป็น Famous Night ค่ำคืนในตำนานของแฟนลูตันที่ได้เดินกลับบ้านอย่างมีความสุขกันถ้วนหน้าในคืนที่หนาวเหน็บ
แต่แล้วในช่วงนาทีที่ 7 ของการทดเวลา – ซึ่งเกินจากการชูป้ายของผู้ตัดสินที่ 4 ที่ระบุว่าจะทดเวลา 6 นาที เพราะมีจังหวะเกมดีเลย์เล็กน้อย – มาร์ติน โอเดอการ์ด กัปตันทีมกันเนอร์ส ได้ตั้งป้อมเปิดโค้งเข้าไปในกรอบเขตโทษ
และเป็น ดีแคลน ไรซ์ ที่ทะยานขึ้นโขกบอลเข้าประตูไปให้อาร์เซนอลพลิกกลับมาชนะ 4-3
นี่คือเกมที่ 5 แล้วที่อาร์เซนอลพลิกสถานการณ์ในช่วงท้ายเกม และแน่นอนมันทำให้เกิดความรู้สึกและคำถามอีกครั้งว่า ‘นี่คือฟอร์มแชมป์’ ใช่ไหม?
ต่อคำถามดังกล่าว ณ เข็มนาฬิกาเดินไปต้องบอกว่า เป็นคำถามที่ยังไม่ควรถาม เพราะเส้นทางยังเหลืออีกยาวไกลในฤดูกาลนี้ สำหรับอาร์เซนอลยังมีเกมที่พวกเขาต้องฝ่าฟันอีกถึง 23 นัดด้วยกัน
แต่ในเรื่องของความรู้สึก บางครั้งมันห้ามกันยาก
ชัยชนะที่เดอะ เคนนี ทำให้อาร์เซนอลมี 36 แต้ม นำห่างรองจ่าฝูงลิเวอร์พูลที่จะลงสนามตามมาในเกมคืนนี้ในการเยือนเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด (บอลเปลี่ยนโค้ช) 5 คะแนน และทิ้งห่างแชมป์เก่าคู่ปรับในฤดูกาลที่แล้วอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 6 คะแนน ซึ่งจะลงสนามในคืนนี้ด้วยเช่นกันในเกมยากกับแอสตัน วิลลา
ชัยชนะเกมนี้เป็นการชนะรวด 4 นัดในลีก (6 นัดทุกรายการ) เป็นผลงานที่ดีที่สุดของบรรดาทีมในพรีเมียร์ลีกในช่วง 5 นัดหลังสุด และเก็บชัยชนะได้มากที่สุดถึง 11 นัดจากการลงสนาม 15 นัด (เสมอ 3 แพ้ 1)
สิ่งที่น่าสนใจคือ ในจำนวนนี้มีถึง 5 นัดที่พวกเขาพลิกสถานการณ์จากที่ตกเป็นรองกลับมาได้ในช่วงท้ายเกม
ทุกอย่างเริ่มต้นจากในเกมที่พบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เอมิเรตส์ สเตเดียม ซึ่งเกือบจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แล้ว เมื่อ อเลฮานโดร การ์นาโช หลุดเดี่ยวเข้าไปทำประตูให้ ‘ปีศาจแดง’ ขึ้นนำ 2-1 ในช่วงท้ายเกม แต่ประตูนี้ถูกริบกลับโดย VAR ที่ให้เป็นลูกล้ำหน้าไปเพียงนิดเดียว
ก่อนที่จะเป็น ดีแคลน ไรซ์ ที่ทำประตูนำ 2-1 ให้อาร์เซนอลแทนในช่วงนาทีที่ 6 ของการทดเวลา ตามด้วยประตูฝังของ กาเบรียล เชซุส ในอีก 5 นาทีต่อมาของเกมที่ยาวนานถึง 101 นาที
ประตูของไรซ์นอกจากจะเป็นประตูแรกของกองกลางค่าตัว 105 ล้านปอนด์กับอาร์เซนอลแล้ว ยังเป็นประตูที่มีความสำคัญอย่างมากในฐานะประตูที่ช่วยจุดประกาย ‘ความเชื่อ’ ในทีมของ มิเกล อาร์เตตา อีกครั้ง
ย้อนกลับไปในช่วงต้นฤดูกาล อาร์เซนอลเริ่มต้นได้ไม่ร้อนแรงเหมือนในช่วงฤดูกาลที่แล้ว ส่วนหนึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงระบบและผู้เล่นในตำแหน่งสำคัญ โดยเฉพาะการมาของไรซ์ร่วมกับ ไค ฮาเวิร์ตซ์ กองหน้าทีมชาติเยอรมนี ที่ทำให้ต้องมีการปรับตำแหน่งหาความลงตัวกันใหม่
กระบวนการเปลี่ยนผ่านนั้นไม่ง่าย อาจจะไม่เจ็บตัวหรือเจ็บปวดอะไรมากมาย แต่อาร์เซนอลก็ต้องต่อสู้อย่างหนักพอสมควรในการประคับประคองตัวเองให้รักษามาตรฐานผลงานเอาไว้ให้ได้
อาร์เตตาเองเผชิญกับคำถามมากมาย
- ตำแหน่งของ ดีแคลน ไรซ์
- ตำแหน่งของ ไค ฮาเวิร์ตซ์
- บทบาทของ มาร์ติน โอเดอการ์ด
- ฟอร์มการเล่นที่เหมือนจะตกลงของ บูกาโย ซากา
- เดวิด รายา ดีกว่า อารอน แรมส์เดล ตรงไหน?
คำถามเหล่านี้ (และอีกมากมาย) ไม่ใช่คำถามที่ตอบง่ายและไม่สามารถตอบได้ในทันที สิ่งที่ดีคืออาร์เตตามีทีมที่มีคุณภาพ และทีมชุดนี้มีประสบการณ์ในการต่อสู้มาจากฤดูกาลที่แล้ว มีความเคี่ยวกรำมากขึ้นตามกาลเวลา
และสำคัญที่สุดคือพวกเขาได้ความเชื่อกลับมา
จากการต่อชะตาในเกมกับยูไนเต็ด อาร์เซนอลพลิกสถานการณ์ได้อีกหลายครั้ง
- ประตูชัยนาที 86 จากลูกยิงแฉลบของ กาเบรียล มาร์ติเนลลี ที่ทำให้เอาชนะแมนฯ ซิตี้ ได้สำเร็จ
- ตีเสมอเชลซีในนาทีที่ 84 จาก เลอันโดร ทรอสซาด์
- ประตูชัยในนาทีที่ 89 จาก ไค ฮาเวิร์ตซ์
ล่าสุดคือประตูชัยในวินาทีสุดท้ายของเกมจากฮีโร่คนเดิมอย่างไรซ์
ในเชิงของตัวเลขสถิติ ประตูชัยในนาทีที่ 96.23 เป็นประตูชัยในเกมนัดเยือนที่ยิงได้ช้าที่สุดของอาร์เซนอลนับตั้งแต่ฤดูกาล 2006/07 และยังหยุดสถิติที่ไม่เคยบุกมาชนะลูตัน 10 เกมในทุกรายการ (ครั้งสุดท้ายที่ชนะต้องย้อนไปถึงปี 1984!) ลงได้ด้วย
ในเชิงของสิ่งที่ประเมินค่าได้ยากคือ เรื่องของขวัญและกำลังใจ ลูกนี้มีความหมายอย่างมากเช่นกัน
จะไม่มากอย่างไรไหว เพราะในเกมที่เหมือนกำลังจะหลุดลอยไปแล้ว ความท้อแท้ปรากฏให้เห็นบนใบหน้าและแววตาของผู้เล่นบางคน แต่สุดท้ายไรซ์ก็มา ‘รับจบ’ เป็นฮีโร่ในช่วงนาทีบาปของคู่แข่งอีกครั้ง ทำให้เริ่มมีการพูดถึงแววของอาร์เซนอล
“ฟอร์มแชมป์ว่ะ” คือสิ่งที่หลายคนรู้สึก ซึ่งหลายคนที่ว่าไม่ได้หมายถึงเหล่า Gooners เท่านั้น แต่เป็นความรู้สึกจากมุมมองของแฟนคนกลางๆ (Neutral) ที่มีต่อทีมของอาร์เตตา ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้ง (และอีกครั้ง) ว่าพวกเขาคือของจริง
โดยที่ว่ากันตามสถานการณ์ปัจจุบัน ในฤดูกาลที่แมนฯ ซิตี้ ไม่มี เควิน เดอ บรอยน์ ยาวนานเกือบครึ่งฤดูกาลและมีการปรับเปลี่ยนถ่ายเลือดภายในทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา พอสมควรจะเริ่มมีอาการสะดุดให้เห็นจากการนำก่อน แต่จบลงด้วยการเสมอ 3 นัดติดต่อกัน
และในฤดูกาลที่ทีมแกร่งเจ้าเก่าอย่างลิเวอร์พูลเหมือนจะฟื้นคืนชีพกลับมา แต่ ‘ลิเวอร์พูล 2.0’ ของ เจอร์เกน คล็อปป์ เองก็ยังดูไม่สมบูรณ์แบบและอยู่ระหว่างทางของการรื้อฟื้นคุณสมบัติของทีมลุ้นแชมป์กลับมา
อาร์เซนอลของอาร์เตตาดูเหมือนจะเป็นทีมที่ดีกว่าทั้งสองทีมในเวลานี้
โดยคำว่าดีกว่านั้นมาจากภาพรวมของเรื่องฟอร์มการเล่น ระบบ และสไตล์ที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะนับตั้งแต่ได้ไรซ์มาทำให้แดนกลางและเกมรับของทีมแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ในแนวรุกนั้นบรรดาผู้เล่นที่มีต่างผลัดกันสวมบทฮีโร่กันคนละเกมสองเกม
ล่าสุดคือฮาเวิร์ตซ์ นักเตะที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักมากที่สุดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาก็เริ่มเปล่งประกายให้เห็นว่าเขาเองก็มีดี และดูเหมือนอาร์เตตาเองจะเริ่มต้นพบคำตอบแล้วว่า สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการใช้งานกองหน้าสารพัดประโยชน์คนนี้อยู่ที่ตรงไหน
กระนั้นมีสิ่งที่น่ากังวลอยู่บ้างสำหรับทีมของอาร์เตตา
ความกังวลนั้นมีทั้งในเรื่องของเกมรับที่ยังมีความผิดพลาดหรือเสียประตูง่ายๆ เช่น ในเกมกับลูตันที่รายาผิดและพลาดง่ายๆ จนทำให้ทีมเสีย 2 ประตูในช่วงต้นครึ่งหลัง จากนำอยู่กลายเป็นลูตันพลิกนำ 3-2 แทน
และบางครั้งเกมของทีมก็ช็อตไปดื้อๆ จนต้องมาเร่งเครื่องในช่วงท้ายเกมให้เห็นบ่อยๆ
ด้านหนึ่งของการ ‘โกงความตาย’ หมายถึงขวัญและกำลังใจที่เกิดขึ้น ความเชื่อ ความมั่นใจ และหัวใจที่พองโต
แต่อีกด้านมันสะท้อนให้เห็นถึงความผิดพลาด ความประมาท และการต้องมาแก้ไขสถานการณ์เอาในนาทีวิกฤต
ถ้าสมมติว่า 5 นัดนั้นอาร์เซนอลแก้ไขหรือพลิกสถานการณ์กลับมาไม่ได้ พวกเขามีโอกาสที่จะจบด้วยการเสมอแมนฯ ยูไนเต็ด, เสมอแมนฯ ซิตี้, แพ้เชลซี, เสมอเบรนท์ฟอร์ด และเสมอลูตัน
จาก 13 แต้มที่ได้จะเหลือแค่ 4 แต้มเท่านั้น
ฟอร์มแชมป์ไม่จำเป็นต้องลุ้นระทึกกันตลอดแบบนี้ เพราะมันย่อมมีวันที่อะไรไม่เป็นดั่งใจและปาฏิหาริย์ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ
นั่นเป็นสิ่งที่อาร์เตตาและทีมต้องเรียนรู้และพยายามพัฒนา ‘ความชัวร์’ ให้เพิ่มขึ้นมาไม่น้อยไปกว่า ‘ความเชื่อ’
แต่ ณ เข็มนาฬิกาเดินไปนี้ มันคือช่วงเวลาของความสุขและหัวใจที่พองโตสำหรับ Gooners
ขนาดไม่ได้เป็นแฟนปืนใหญ่ ยังอดใจเต้นไปด้วยไม่ได้เลย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- บูกาโย ซากา เล่นพรีเมียร์ลีกกับอาร์เซนอลครบ 200 นัด ในวัยเพียง 22 ปี 91 วัน
- รอยยิ้มที่หายไปของ อารอน แรมส์เดล (แต่มีอะไรที่มากกว่านั้น)