เกิดอะไรขึ้น:
ใน 3Q65 การดำเนินงานในแง่ของรายได้จากการให้บริการที่ไม่เกี่ยวกับโควิดของโรงพยาบาลเอกชนทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ BDMS, BH, BCH และ CHG ได้ฟื้นตัวสู่ระดับก่อนเกิดโควิด ซึ่งเกิดจากการเติบโตของคนไข้ไทย (จากการกลับมาของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ) และคนไข้ต่างชาติ (จากการเปิดประเทศที่ทำให้การเดินทางสะดวกมากขึ้น)
หลังจากปี 2565 ที่เป็นปีของการฟื้นตัว เชื่อว่าการดำเนินงานของกลุ่มการแพทย์จะกลับสู่ระดับปกติในปี 2566 เมื่อหักการให้บริการที่เกี่ยวกับโควิดออก InnovestX Research คาดว่ารายได้ของกลุ่มการแพทย์จะเติบโตได้ 16%YoY ในปี 2566 (จากการเติบโตที่ 34%YoY ในปี 2565) ซึ่งจะมาจากธุรกิจหลักอย่างการให้บริการในโรงพยาบาลตามการเติบโตของความต้องการทางการแพทย์ การขยายจำนวนเตียง และการให้บริการแบบเฉพาะทางมากขึ้น
หากรวมการให้บริการที่เกี่ยวกับโควิดในปี 2564-65 แล้ว รายได้ของกลุ่มการแพทย์จะลดลง 2%YoY ในปี 2566 (จากการเติบโตที่ 16%YoY ในปี 2565) โดยคาดว่า BDMS และ BH จะมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นในปี 2566 จากการให้บริการที่ไม่เกี่ยวกับโควิด และรายได้จากคนไข้ต่างชาติที่แข็งแกร่ง ซึ่งสามารถชดเชยการลดลงของการให้บริการที่เกี่ยวกับโควิดได้ ในขณะที่ BCH และ CHG จะมีรายได้ที่ลดลงในปี 2566 จากฐานสูงของการให้บริการที่เกี่ยวกับโควิดในช่วงครึ่งแรกของปี 2565
ทั้งนี้ โรงพยาบาลเอกชนยังคงมีการขยายจำนวนเตียงต่อเนื่อง ซึ่งไม่คิดว่าจะมีผลกระทบเชิงลบอย่างเป็นนัยสำคัญจากภาวะ Oversupply ของจำนวนเตียง อ้างอิงข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขในปี 2565 โรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทยมีจำนวนเตียงรวม 3.9 หมื่นเตียง หรือคิดเป็น 23% ของจำนวนเตียงทั้งหมดในประเทศไทย จากข้อมูลของโรงพยาบาลเอกชนต่างๆ ที่ได้รวบรวมมานั้น สะท้อนว่าจำนวนเตียงใหม่ของโรงพยาบาลเอกชนจะเพิ่มขึ้นเพียง 3% ในปี 2566 1% ในปี 2567 และ 4% ในปี 2568 เป็นต้นไป การเกิดขึ้นของโรคโควิด ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งนำไปสู่การที่โรงพยาบาลเอกชนพัฒนาการให้บริการนอกกลุ่มโรงพยาบาล (Non-Hospital Business) มากขึ้น เช่น บริการด้านสุขภาพผ่านระบบดิจิทัล และธุรกิจ Wellness เพื่อสนับสนุนการเติบโตในอนาคต
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มการแพทย์ (SETHELTH) ปรับลดลง 1.10%MoM ขณะที่ SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 1.88%MoM
แนวโน้มผลประกอบการปี 2566:
การเติบโตของการให้บริการที่ไม่เกี่ยวกับโควิด และการให้บริการคนไข้ต่างชาติจะเป็นปัจจัยสำคัญของการเติบโตของกำไรของกลุ่มการแพทย์ในปี 2566 InnovestX Research เลือก BDMS เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มการแพทย์ (ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2566 ที่ 34 บาทต่อหุ้น) จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โดยกำไรปกติจะกลับมาอยู่เหนือระดับก่อนเกิดโควิดได้ที่ 1.2 หมื่นล้านบาทในปี 2565 และจะเติบโตได้อีก 12%YoY ในปี 2566 ซึ่งเป็นการเติบโตสูงสุดของกลุ่ม ส่วนราคาหุ้น BDMS ซื้อขายที่ระดับ PE ปี 2566 ที่ 34 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตช่วงปี 2558-62 ที่ 41 เท่า
สำหรับความเสี่ยงที่ต้องติดตาม
- Upside คือ การมีผู้ป่วยเข้ามาใช้บริการจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ป่วยชาวต่างชาติ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้รายได้และอัตรากำไรปรับตัวเพิ่มขึ้น
- ปัจจัยเสี่ยง คือ การแข่งขันที่รุนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ส่อง Top 5 หุ้น IPO ‘ดาวรุ่ง-ดาวร่วง’ ประจำปี 2565
- รีวิว ‘มาตรการกำกับ’ ฉบับเข้มข้น พบ 3 หุ้น ‘BGT, JTS และ TEAMG’ เข้าระดับ 3 ในปีนี้
- ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศหุ้นเข้า SET50-SET100 รอบเดือน ม.ค.-มิ.ย. ปี 66