วันนี้ (5 มกราคม) เวลา 10.00 น. อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เป็นประธานในการประชุมกำหนดมาตรการรองรับการเดินทางเข้าประเทศไทย เพื่อป้องกันควบคุมโรคโควิดครั้งที่ 1/2566
โดยมี ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมผู้บริหารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข, กระทรวงคมนาคม, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, กระทรวงการต่างประเทศ, กรุงเทพมหานคร, สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ร่วมประชุมที่ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล
อนุทินกล่าวว่า วันนี้เป็นการหารือของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมการรับผู้เดินทางจากต่างประเทศสำหรับปี 2566 รวมถึงการเตรียมความพร้อมกรณีที่ประเทศจีนทยอยเปิดประเทศ เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการต่างๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่าทางการได้มีมาตรการรองรับที่รอบด้าน เพื่อจะให้ภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างก้าวกระโดดในระยะต่อไปสามารถชดเชยความเสียหายที่เกิดต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโควิดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาได้
ทั้งนี้ ในภาพรวมการหารือมีความมั่นใจประเทศไทยมีความพร้อมในทุกด้าน เนื่องจากการได้เตรียมการมาระยะหนึ่ง และมีมาตรการที่ครอบคุม ทั้งการคัดกรอง ป้องกัน และดูแลรักษานักท่องเที่ยว และในครั้งนี้ก็มีการเสนอมาตรการเสริมจากหน่วยงานต่างๆ เพิ่มเติมเพื่อประสิทธิภาพในการควบคุมโรค ซึ่งคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข จะนำแต่ละข้อเสนอไปกำหนดเป็นรายละเอียดต่อไป และยืนยันในหลักดำเนินการที่จะไม่เลือกปฏิบัติต่อประเทศใดประเทศหนึ่ง เนื่องจากขณะนี้ยังคงมีการแพร่ระบาดของโควิดในทุกประเทศ และเป็นการระบาดที่มีสายพันธุ์ใกล้เคียงกัน จึงไม่ควรให้โควิดมาเป็นประเด็นการกีดกันประเทศใดประเทศหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้พิจารณาเป็นข้อมูลที่ทุกหน่วยงานมีอยู่ในปัจจุบัน หากในระยะต่อไปเกิดการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ของโรค กระทรวงสาธารณสุขในฐานะผู้รับผิดชอบตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ก็พร้อมจะปรับมาตรการให้เหมาะสมต่อไป และเนื่องจากขณะนี้ไม่ได้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่มีศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด (ศบค.) ดังนั้นภายใต้กฎหมายที่มีอยู่ จะต้องขอความร่วมมือจากทุกหน่วยงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนให้การเปิดรับนักท่องเที่ยวในระยะต่อไปเป็นไปอย่างราบรื่น
ที่ประชุมฯ ได้พิจารณากำหนดหลักการและการขับเคลื่อนมาตรการควบคุมโควิดของประเทศไทย เพื่อรองรับผู้เดินทางจากต่างประเทศ ปี 2566 ในภาพรวมตามที่คณะกรรมการด้านวิชาการตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ได้ให้แนวทาง โดยจะไม่ใช้มาตรการด้านสาธารณสุขสำหรับโควิด เพื่อกีดกันผู้เดินทางจากประเทศใด โดยไทยมีมาตรการป้องกันควบคุมโควิดตามหลักวิชาการ ซึ่งเป็น World Standard Protocol โดยประเทศไทยจะต้อนรับและดูแลผู้มาเยือนจากทุกประเทศ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
ขณะนี้ระบบสาธารณสุขของประเทศมีความพร้อมรับสถานการณ์ฉุกเฉินได้ มีการเตรียมความพร้อมหากพบการระบาดรุนแรงขึ้น แต่จะเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังโรคจากกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศ การดูแลจัดการน้ำเสียจากเครื่องบิน รวมทั้งติดตามประเมินผลสถานการณ์ในช่วงไตรมาสแรก ปี 2566 เพื่อกำหนดมาตรการที่เหมาะสมตามสถานการณ์ต่อไป
สำหรับมาตรการด้านสาธารณสุขซึ่งเสนอโดยกระทรวงสาธารณสุขนั้น กรณีก่อนเข้าประเทศไทย จะต้องฉีดวัคซีนโควิดอย่างน้อย 2 เข็ม และหากมีอาการป่วยโรคทางเดินหายใจ แนะนำให้เลื่อนการเดินทางและรักษาให้หายก่อนเดินทางเข้าไทย รวมถึงแนะนำให้ซื้อประกันสุขภาพเดินทางที่ครบคลุมการรักษาโควิดก่อนเข้าไทย เพื่อลดภาระการใช้จ่ายด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นในช่วงพำนักในประเทศไทย
ส่วนระหว่างพำนักในประเทศไทย จะแนะนำให้ผู้เดินทางจากต่างประเทศป้องกันตนเอง เช่น สวมหน้ากากอนามัยขณะอยู่ในสถานที่สาธารณะ รถโดยสารขนส่งสาธารณะ ล้างมือบ่อยๆ เน้นการตรวจคัดกรองด้วย ATK เมื่อมีอาการ ส่วนกรณีผู้เดินทางที่จะออกจากไทยไปยังประเทศที่มีนโยบายคัดกรองก่อนเข้าไทย จะแนะนำให้ผู้เดินทางพักในโรงแรม SHA Plus ซึ่งจะมีบริการตรวจโควิดโดยสถานพยาบาลที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
พร้อมกันนี้ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการติดตามสถานการณ์โรค และตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน กรณีพบการระบาดในกลุ่มผู้เดินทางจากต่างประเทศ มีการเพิ่มกลไกการรายงานสถานการณ์ผ่านเว็บไซต์กรมควบคุมโรค ที่เน้นแจ้งจำนวนนักท่องเที่ยวและตรวจคัดกรองผู้ที่มีอาการป่วยทางเดินหายใจที่สนามบิน โดยรายงานทุกสัปดาห์ กำหนดเกณฑ์สำหรับการปรับมาตรการเมื่อพบผู้ติดเชื้ออัตราสูงขึ้น หรือมีการกลายพันธุ์ และเฝ้าระวังตรวจสายพันธุ์โควิดในน้ำเสียจากเครื่องบิน
ขณะที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้กำหนดแนวทางการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวต่างชาติทุกประเทศที่ติดเชื้อ โดยสามารถติดต่อหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อให้ความช่วยเหลือในการประสานงานเข้ารับการรักษา เช่น ตำรวจท่องเที่ยว โทร. 1155, ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว (TAC) โทร. 0 2134 4077, สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด (สทกจ.) ทุกจังหวัด และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โทร. 1672
ทางด้านกระทรวงคมนาคมได้รายงานถึงการเตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในทุกท่าอากาศยาน ซึ่งขณะนี้สามารถรองรับผู้เดินทางจากต่างประเทศได้ เนื่องจากปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาประมาณร้อยละ 50-60 ของปี 2562 ก่อนเกิดโควิด ส่วนปัญหาความแออัดที่พบขณะนี้เป็นเพียงเรื่องของการบริหารจัดการ ที่ผู้ประกอบการยังไม่สามารถเพิ่มผู้ปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับจำนวนผู้เดินทาง โดยขณะนี้ทางกระทรวงคมนาคมกำลังเร่งรัดเพิ่มศักยภาพในการให้บริการให้กลับสู่ภาวะปกติ ควบคู่กับการบริหารจัดการในช่วงเวลาเร่งด่วน และเตรียมแผนระยะสั้น-กลาง-ยาว สำหรับการให้บริการ ทั้งการเดินทางผ่านอากาศยาน, การให้บริการรถโดยสารสาธารณะ ณ ท่าอากาศยาน, ระบบขนส่งสาธารณะในเมือง และการจัดตั้งศูนย์ประสานงานร่วม 3 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ที่ประชุมได้หารือกันถึงประเด็นการซื้อประกันสุขภาพของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย โดยที่ประชุมได้กำหนดหลักการว่าจะไม่กำหนดมาตรการแบบเลือกปฏิบัติกับประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ แต่จะกำหนดให้สอดคล้องกับมาตรการของประเทศนั้นๆ เช่น หากประเทศใดกำหนดว่าให้ผู้เดินทางเข้าประเทศต้องตรวจ RT-PCR ก่อนกลับประไทย ไทยก็อาจต้องกำหนดให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากประเทศนั้นต้องซื้อประกันสุขภาพ เป็นต้น
รวมถึงกรณีการให้วัคซีนแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ว่าจะสัญชาติใด หากต้องการจะรับวัคซีนในไทยก็จะให้บริการ เพื่อเน้นให้เห็นถึงการเป็น Medical Hub ของไทย แต่จะไม่ให้บริการฟรี ซึ่งทั้งส่วนของรายละเอียดประกันสุขภาพและการให้วัคซีนนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะดำเนินการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดรายละเอียดข้อกำหนดและประกาศให้ทราบต่อไป