ปี 2025 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป หากผมต้องเลือกคำมาอธิบายสิ่งที่เราทุกคนกำลังเผชิญอยู่ ผมคิดว่ามันคือสองคำนี้ครับ
‘Fragmentation’ โลกที่แตกเป็นเศษเสี้ยว และ ‘Instability’ ความมั่นคงที่ค่อย ๆ พังลงตรงหน้าเรา
นี่ไม่ใช่คำอธิบายเชิงทฤษฎี และไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปนะครับ แต่มันคือ ‘ความจริงใหม่’ ที่แทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันของเราทุกคน โดยที่เราแทบไม่มีเวลาตั้งตัว
ความแตกเป็นเสี้ยวของโลกไม่ได้จำกัดอยู่แค่สงครามในหลายพื้นที่ หรือการแบ่งขั้วของมหาอำนาจทางการเมืองและการค้าที่ค่อยๆ พาเราก้าวออกจากยุค Globalization สิ้นสุดการค้าเสรีเข้าสู่โลกของแบ่งเขตเศรษฐกิจเป็นบล็อกๆ และ Supply Chain ที่ถูกดิสรัปต์ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป…มันลึกกว่านั้นครับ
มันลงมาถึงระดับพฤติกรรมผู้บริโภค วันที่โลกไม่มี ‘ตลาดมวลชน’ ไม่มี ‘อันดับหนึ่ง’ ที่ทุกคนเห็นตรงกัน ทุกอย่างแตกออกเป็นกลุ่มเล็กๆ เป็น Community ที่มีความสนใจเฉพาะตัว จนกติกาการตลาดแบบเดิมเริ่มใช้ไม่ได้ผล
และเมื่อโลกภายนอกแตกสลาย ความมั่นคงพื้นฐานในชีวิตของเราก็เริ่มสั่นคลอนตามไปด้วย ตั้งแต่ความมั่นคงทางใจ จากการเสพข่าวร้ายที่ถาโถมไม่หยุด ความไม่มั่นคงทางกายภาพจากภัยพิบัติสุดขั้ว ภัยสงครามชายแดน และภัยใกล้ตัวอย่างสแกมและคอลเซ็นเตอร์ ไปจนถึงความไม่มั่นคงในอาชีพการงานเมื่อ AI กำลังยืนอยู่หน้าประตูออฟฟิศ พร้อมตั้งคำถามกับทักษะพื้นฐาน ที่เราเคยยึดถือว่า ‘ปลอดภัย’
มันคือความไม่มั่นคงที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ทั้งระดับจุลภาคและมหภาค เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก และคำถามสำคัญที่สุดก็คือ เราจะอยู่กับโลกแบบนี้ได้อย่างไร?
สิ่งที่น่ากังวลสำหรับผม ไม่ใช่แค่ว่าโลกกำลังเผชิญวิกฤต แต่คือ ไม่มีใครรู้จริงๆ ว่า ‘’ก้นหลุม’ ของปีเผานี้อยู่ตรงไหน การพยายามวิ่งไล่เพื่อให้โลกภายนอกกลับมาเหมือนเดิม อาจไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป ผมเริ่มเชื่อว่า คำตอบอาจไม่ได้อยู่ที่การควบคุมโลกภายนอกแต่อยู่ที่การหันกลับมาดูแล ‘โลกใบเล็ก’ ของเราเอง โลกที่เรายังพอควบคุมได้ และยังพอสร้างความมั่นคงจากภายในได้
เมื่อความมั่นคงภายนอกพังลง สิ่งที่เราจำเป็นต้องสร้างขึ้นมา คือ ‘ป้อมปราการทางใจ’ และนั่นพาเรากลับมาสู่คำถามพื้นฐานที่สุดของชีวิต อะไรคือ ‘ความหมาย’ ของการมีชีวิตอยู่ของเรา
เราทำงานไปเพื่ออะไร?
เรามีชื่อเสียงไปเพื่ออะไร?
เราออกกำลังกายเพื่ออะไร?
เราเลือกใช้ชีวิตกับคนที่เราอยู่ด้วยเพื่ออะไร?
หากความสำเร็จ ความมั่งคั่ง หรือชื่อเสียงไม่ได้มีความหมายกับตัวตน ครอบครัว และสังคม สิ่งเหล่านั้นจะมีคุณค่าอะไร
เช่นเดียวกัน การทำคอนเทนต์ที่ได้ยอดวิวสูง แต่เต็มไปด้วย Toxic หรือ Fake News
จะมีความหมายอะไรกับการเป็นสื่อ
สำหรับ THE STANDARD เราตัดสินใจแล้วว่า ปีหน้ากลยุทธ์หลักของเราคือคำเดียว ‘Meaning – ความหมาย’ เราจะเลิกวัด ‘ยอด’ เป็นเป้าหมายสูงสุดเพราะมันง่ายที่จะพาเราไปผิดทาง และจะกลับมาวัดที่ ‘’คุณค่าภายใน’ คุณค่าที่เรามีต่อคนอ่าน ต่อคนทำงาน และต่อสังคม
คำถามถัดมาคือ แล้วเราควรสร้างความมั่นคงให้โลกใบเล็กของเราอย่างไร? ผมเชื่อว่ามี 5 เสาหลัก ที่เราสามารถลงทุนได้ และควบคุมได้ด้วยตัวเอง
🔸1. ทักษะ (Skills)
ทักษะคือสิ่งเดียวที่ทำให้เรายังมีคุณค่าในโลกการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นทักษะ AI เทคโนโลยี หรือเหนือสิ่งอื่นใด ทักษะความเป็นมนุษย์ อย่าหยุดเรียนรู้ เพราะสิ่งเดียวที่แทนตัวคุณไม่ได้ ก็คือตัวคุณเอง
🔸2. สุขภาพกาย (Health)
ในโลกที่วุ่นวาย การดูแลร่างกายให้แข็งแรง กลายเป็นความหมายพื้นฐานของการมีชีวิต นี่คือพื้นที่ที่เรายังควบคุมได้จริง
🔸3. สุขภาพใจ (Mental Health)
หากิจกรรมที่ช่วย ‘ฮีลใจ’ ของคุณให้เจอ ไม่ว่าจะเป็นการเขียน การทำสมาธิ การออกกำลังกาย หรือการชงกาแฟเงียบๆ และลดสิ่งที่บั่นทอนใจ อย่างการเสพโซเชียลมากเกินไป หรือการเปรียบเทียบและชี้นิ้วใส่กัน
🔸4. ความสัมพันธ์ (Relationships)
วางโทรศัพท์ลง กลับไปอยู่กับพ่อแม่ ครอบครัว และเพื่อน หัวเราะ ยิ้ม กินข้าวพร้อมกัน พื้นที่เล็กๆ นี้ คือความมั่นคงทางใจที่แท้จริงที่สุด
🔸5. ความมั่นคงทางการเงิน (Financial Stability)
อย่าพึ่งพารายได้เพียงทางเดียว การออม ลงทุน และสร้างทางเลือกให้ชีวิต เพราะในโลกที่ไม่แน่นอน องค์กรอาจล้ม หรือเลย์ออฟเมื่อไรก็ได้
สุดท้าย คำถามที่ใหญ่ขึ้นไปอีกขั้นคือ ภาวะผู้นำแบบไหน จะพาองค์กรและผู้คนอยู่รอดในโลกที่แตกสลาย
ผมคิดว่า ผู้นำในยุคนี้ต้องเริ่มจากการสร้างความมั่นคงภายในตนเองก่อน ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า เราทำงานไปเพื่ออะไร หากภายในคุณไม่มั่นคง คุณจะนำพาคนอื่น ในโลกที่ไม่มั่นคงได้อย่างไร
ผู้นำต้องสร้างความปลอดภัยให้ทีม รับฟังว่าพวกเขาไม่มั่นคงเรื่องอะไร และออกแบบทางออกไปด้วยกัน
ต้องให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูจิตใจ พอ ๆ กับการวางกลยุทธ์ เพราะ “ความรู้” สำคัญ แต่ “ความรู้สึก” ก็สำคัญไม่แพ้กัน
ต้องมองยาวในเชิงทิศทาง แต่ลงมือทำอย่างติดดิน ค่อย ๆ แก้ ค่อย ๆ เดิน และที่สำคัญที่สุด ‘อย่าทำคนเดียว’
โลกใบนี้ต้องการความร่วมมือ ต้องการการนำ ‘ความหมายเล็ก ๆ’ ของแต่ละองค์กร แต่ละคน มาประกอบกันเป็นพลังที่ใหญ่ขึ้น
ปี 2026 อาจเป็นปีที่ยาก และอาจหนักหนาที่สุดอีกปีหนึ่ง แต่ตราบใดที่เรายังมี
สติ ที่รู้เท่าทันอารมณ์
สมาธิ ที่โฟกัสในสิ่งที่ควบคุมได้
และ ปัญญา ที่มองโลกตามความเป็นจริง
เราจะสามารถปล่อยวางสิ่งที่แก้ไม่ได้ และทุ่มเทให้กับโลกภายใน ที่เต็มไปด้วยความหมาย
สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณคนอ่านทุกคนจากใจ เพราะพวกคุณคือ ‘ความหมาย’
ของการมีอยู่ของเรา
มาช่วยกันประคองโลกใบเล็กของเรา และสร้างความหมายให้กันและกัน ในปีใหม่ที่ท้าทายเหลือเกินนี้
Happy New Year 2026 ครับ ❤️


