เทคโนโลยีทำให้การดำเนินชีวิตของผู้คนง่ายขึ้น ไม่เพียงแต่เป็นการลดต้นทุนที่อยู่เดิมให้ลดลงหรือหมดไปเท่านั้น ยังสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงบริการที่ดีได้อย่างแพร่หลายรวดเร็วอีกด้วย แบรนด์ต่างๆ จึงพัฒนาระบบงานด้านไอทีให้เติบโตสอดรับกับการขยายตัวของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตและสังคมเมืองที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

การไฟฟ้านครหลวง (MEA) ไม่เพียงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อความมั่นคงของผู้ใช้ไฟฟ้าในกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ แต่ยังใส่ใจคุณภาพด้านการบริการด้วยโซลูชันที่สอดรับกับเศรษฐกิจดิจิทัลผ่านระบบการชำระเงินออนไลน์หรือ e-Payment เพิ่มเติมด้วย THE STANDARD ขอพาผู้อ่านรู้จักกับอีกความตั้งใจในการสร้างสิ่งใหม่เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทยผ่านบทความนี้

 

ชุมชนเมืองขยายตัว เทคโนโลยีคือตัวช่วยสำคัญในวันที่เวลาน้อยลงไปทุกที

 

 

การขยายตัวอย่างรวดเร็วของสังคมเมือง (Urbanization) เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกประเทศทั่วโลก เกิดการย้ายถิ่นฐานของแรงงานไปสู่พื้นที่ที่มีศักยภาพของโครงสร้างพื้นฐาน ปัจจัยด้านเศรษฐกิจและการดำรงชีวิตมากกว่า จะเห็นได้จากโครงการด้านอสังหาริมทรัพย์บริเวณชานเมืองที่ขยายตัวอย่างมาก ขณะที่ราคาที่อยู่อาศัยใจกลางเมืองยังปรับเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งที่น่าตกใจ สะท้อนความต้องการของผู้อยู่อาศัยที่อยากใช้ชีวิตสะดวกสบายในเมืองมากกว่าจุดที่อยู่ห่างไกลออกไป

 

จากข้อมูลของ World Resources Report รายงานว่า พื้นที่เมืองจะขยายตัวจากปี 2000 ไปอีกสามเท่าตัวภายในปี 2030 หรืออีกเพียง 11 ปีนับจากนี้ หรือเท่ากับเติบโตอีก 30% และชนชั้นกลางจะกลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศในสัดส่วน 55% ของประชากรทั้งหมด เช่นเดียวกับกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่มีประชากรรวมกันหลายสิบล้านคน ทำให้เกิดการบริโภคและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่นี้สูงมากกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ

 

เทคโนโลยีกลายเป็นตัวเร่งที่มีบทบาทอย่างสูงสุดต่อพฤติกรรมคนเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป ทุกคนได้รับข้อมูล ช่องทางในการติดต่อสื่อสาร รวมทั้งประสบการณ์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ผู้บริโภคทุกวันนี้กลายเป็นคนใจร้อน เนื่องจากคุ้นเคยกับการตอบสนองอย่างทันท่วงที (Instant Response) จากสมาร์ทโฟนที่ใช้กันอยู่ เมื่อต้องการซื้อสินค้าหรือใช้บริการใดๆ ก็แทบจะต้องการสิ่งที่อยากได้ในทันที ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ยิ่งมีเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้น ยิ่งทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าตัวเองมีเวลาน้อยลงไปทุกที

 

นี่คือการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ หรือเมกะเทรนด์ที่เกิดขึ้นกับโลกทั้งใบ จึงเกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ขึ้นเพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่แสวงหาความสะดวกสบาย รวดเร็ว ไว้ใจได้ ธุรกิจที่เติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่องนับจากยุค 3G มาจนถึง 5G นี้คือการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Payment

 

 

จากข้อมูลของ Merchant Savvy พบว่า แพลตฟอร์มขนาดใหญ่ของบริษัทไอทีระดับโลกเป็นพื้นที่สำคัญที่มีผู้ใช้งานประจำจำนวนมาก เกิดธุรกรรมอยู่ทุกเสี้ยววินาที และทำให้การใช้บริการ e-Payment เติบโตขึ้นจนเป็นวิถีใหม่ (New Normal) ในหลายประเทศไปแล้ว ที่ชัดเจนคือประเทศจีน ซึ่งมีผู้ใช้งานประจำของ WeChat และ Alipay กว่า 1 พันล้านคน เช่นเดียวกับเครือข่ายของผู้ใช้สมาร์ทโฟน Samsung ที่มีผู้ใช้งาน Samsung Pay ราว 1 พันล้านคน

 

การชำระเงินผ่านโทรศัพท์เป็นช่องทางที่เติบโตแบบก้าวกระโดดและชัดเจนกว่าการชำระเงินประเภทอื่น โดยคาดว่าภายในปี 2022 การชำระค่าสินค้าและบริการด้วยเงินสดจะลดต่ำลงกว่า 20% การจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตจะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำกว่า 25% การใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตจะเติบโตเล็กน้อยในช่วง 30% และการชำระเงินผ่านมือถือจะเติบโตใกล้เคียงสัดส่วน 30% ของการชำระเงินทั้งหมด

 

ธนาคารแห่งประเทศไทยผลักดันเรื่อง e-Payment มาอย่างต่อเนื่องและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยบริการพร้อมเพย์ที่ทำให้การโอนเงิน ชำระเงิน เป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดเท่าที่เคยทำมา จากนั้นจึงมีการชำระเงินด้วย Standard QR Payment รวมทั้งบริการอื่นๆ ที่ทำให้ธนาคารพาณิชย์เร่งปรับตัว ยกระดับการบริการสำหรับลูกค้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

 

ต้นทุนที่สำคัญของคนเมืองในยุค 4.0 นี้ หนีไม่พ้นต้นทุนด้านเวลา การทำงานที่หามรุ่งหามค่ำประกอบกับการจราจรที่แสนจะติดขัด ทำให้เวลาแต่ละวินาทีมีค่ามาก และบางกิจกรรมที่คุ้นเคยอย่างการชำระบิลค่าสาธารณูปโภคพื้นฐานกลับกลายเป็นต้นทุนที่มีผลต่อการใช้ชีวิตและการตัดสินใจเดินทางอย่างหลีกเลี่ยงมิได้

 

แทบทุกองค์กรทั้งหน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน จึงให้ความสำคัญกับระบบ e-Payment ในช่วงที่ผ่านมา เพื่อการบริการที่รวดเร็วและเกิดภาระด้านการเงินกับผู้ใช้งานที่ต่ำที่สุดหรือไม่มีเลย

 

เช่นเดียวกับระบบการชำระเงินรูปแบบใหม่ของ MEA

 

ชีวิตสะดวกขึ้น ด้วยบริการจ่ายค่าไฟผ่าน e-Payment ของ MEA

MEA ในฐานะองค์กรด้านพลังงานที่ดำเนินการเรื่องความมั่นคงทางพลังงานและมุ่งมั่นในการตอบสนองต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง ได้ยกระดับการพัฒนาคุณภาพงานบริการเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีของสังคมไร้เงินสด (Cashless Society) โดยการพัฒนาระบบการชำระเงินในรูปแบบ e-Payment ขึ้นมา

 

 

เดิมนั้นช่องทางการชำระค่าไฟฟ้าของ MEA จะสามารถชำระได้ที่ทำการการไฟฟ้านครหลวงเขตต่างๆ ที่กระจายไปตามแต่ละพื้นที่ เลือกชำระเงินผ่านเคาน์เตอร์ของธนาคารพาณิชย์ ที่ทำการไปรษณีย์ไทยหรือเลือกชำระเงินกับตัวแทนให้บริการอย่างเคาน์เตอร์เซอร์วิสที่ห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างสะดวกและครอบคลุมพอสมควรแล้ว

 

แต่โจทย์ที่สำคัญคือ ผู้ใช้ไฟฟ้ายังต้องเดินทางไปยังสถานที่รับชำระ ไม่ว่าจะเป็นช่องทางไหนก็ตามที ทำให้ผู้ที่ติดธุระไม่สามารถชำระเงินได้ตามกำหนด เนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลาและการเดินทาง MEA จึงให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวและพัฒนาช่องทางการรับชำระค่าไฟฟ้าผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Payment เพื่ออำนวยความสะดวกต่อผู้ใช้ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถใช้งานได้ผ่านทางระบบ e-Service นอกจากนี้ยังสามารถชำระค่าไฟฟ้าผ่านแอปพลิเคชัน Mobile Banking ของธนาคารต่างๆ ที่ผูกร่วมกับระบบ QR Code Cross Bank หรืออาจจะเลือกชำระค่าไฟฟ้าผ่านการหักบัญชีธนาคาร หรือบัญชีบัตรเครดิตโดยอัตโนมัติได้ อีกไฮไลต์สำคัญจากทาง MEA คือ MEA Smart Life Application ที่รองรับทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android ทำให้การใช้ชีวิตง่ายยิ่งขึ้น โดยสามารถเลือกชำระค่าไฟฟ้าผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งครอบคลุมการให้บริการที่หลากหลายทั้งการตรวจสอบยอดค่าไฟค้างชำระ การชำระค่าไฟฟ้าออนไลน์ การสมัครรับแจ้งค่าใช้ไฟฟ้าทางอีเมล การจัดการเครื่องวัดของผู้ใช้แต่ละบัญชี และการตรวจสอบค่าไฟฟ้าย้อนหลัง ที่สามารถเรียกดูได้ถึง 6 เดือน รวมทั้งตรวจสอบค่าไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็วแจ้งไฟฟ้าขัดข้อง พร้อมเข้าถึงบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวกับระบบไฟฟ้าของ MEA ได้ทุกที่ ทุกเวลา

 

 

ลืมการต่อคิวยาวเหยียดเพื่อรอชำระค่าไฟฟ้าที่ร้านสะดวกซื้อหรือที่ทำการการไฟฟ้าแบบที่เป็นมาได้เลย และใช้เวลาที่มีอยู่ใช้คุ้มค่าและสนุกกับทุกจังหวะของชีวิต โดยที่ MEA จะยังคงอยู่เบื้องหลังบริการไฟฟ้าที่เป็นเหมือนจักรกลขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่อไป

 

และความสะดวกสบายคือตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตที่ดีของโลกยุคนี้

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า