รายงานของ McKinsey ระบุว่าการเติบโตที่รวดเร็วของปัญญาประดิษฐ์ทั่วโลกจะนำมาสู่ยุคแห่งการเติบโตสำหรับบางคน แต่ในอีกมุมหนึ่งอาจเป็นการปิดฉากสำหรับใครหลายๆ คน เช่น แรงงานที่มีทักษะความรู้ความสามารถ
กิจกรรมทางธุรกิจทั้งหมด ตั้งแต่การขายและการตลาด ไปจนถึงการดำเนินงานของลูกค้า ถูกกำหนดให้เชื่อมโยงกับซอฟต์แวร์มากขึ้น โดยคาดว่าอาจเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้สูงถึง 4.4 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4.4% ของผลผลิตเศรษฐกิจโลก
Lareina Yee หุ้นส่วนอาวุโสและประธานของ McKinsey Technology กล่าวในรายงานว่า AI จะมอบอำนาจใหม่แก่มนุษย์ และเศรษฐกิจจะได้รับผลพลอยได้จากผลผลิตที่จำเป็นมากขึ้น
ไม่กี่ปีที่ผ่านมา McKinsey ประเมินว่ากว่าครึ่งหนึ่งของชั่วโมงทำงานทั่วโลกถูกใช้ไปกับงานที่สามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติ และในปัจจุบันตัวเลขดังกล่าวกำลังสูงถึง 60-70% พนักงานอาจค้นพบว่าเวลาของพวกเขาถูกจัดสรรใหม่ หรืองานของพวกเขาหายไป ในรายงานค้นพบว่าคนงานหลายคนต้องการความช่วยเหลือในการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ หรือบางคนต้องการเปลี่ยนอาชีพ
รายงานเผยว่าประมาณ 75% ของมูลค่าที่สร้างโดย AI จะมาจากหน้าที่ทางธุรกิจ 4 ประการ ได้แก่ การปฏิบัติการของลูกค้า การตลาดและการขาย วิศวกรรมซอฟต์แวร์ และการวิจัยพัฒนา
การวิจัยก่อนหน้านี้ของบริษัทชี้ให้เห็นว่าปี 2027 จะเป็นปีแรกที่เทคโนโลยี AI สามารถเทียบเคียงกับประสิทธิภาพการทำงานของมนุษย์ทั่วไปในงานที่เกี่ยวข้องกัน แต่มุมมองในตอนนี้ McKinsey คิดว่าด้วยความร้อนแรงของ AI เราอาจได้เห็นปรากฏการณ์ที่คาดการณ์ไว้ภายในปีนี้
การนำระบบอัตโนมัติมาใช้จะเกิดขึ้นเร็วกว่าในประเทศที่พัฒนาแล้ว หมายความว่าแรงงานที่มีค่าจ้างสูงขึ้นอาจเผชิญกับผลกระทบจาก Al เร็วกว่าแรงงานที่ค่าจ้างต่ำ และจะส่งผลกระทบต่องานในออฟฟิศมากกว่างานที่ต้องใช้แรง
นั่นหมายความว่าเทคโนโลยี AI แตกต่างจากการปฏิวัติทางเทคโนโลยีในอดีตอย่างสิ้นเชิง เพราะปกติแล้วพนักงานที่ใช้แรงงานหรือมีวุฒิการศึกษาที่ตํ่ากว่าจะได้รับผลกระทบก่อน
อ้างอิง: