รมต. กลาโหมสหรัฐฯ บินหารือเกาหลีใต้ ถกปัญหาเกาหลีเหนือ หลังเข้าร่วมงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ

เจมส์ แมตทิส (James Mattis) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา เดินทางเยือนกรุงโซลของเกาหลีใต้ทันที ภายหลังจากเป็นตัวแทนรัฐบาลสหรัฐฯ เข้าร่วมพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวงเมื่อค่ำวานนี้ เพื่อหารือในประเด็นเกาหลีเหนือกับรัฐบาลเกาหลีใต้ ในสถานการณ์ที่ความตึงเครียดภายในภูมิภาคทวีคูณมากยิ่งขึ้นนับตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา

การพบปะหารือของ รมต. กลาโหมสหรัฐฯ กับเกาหลีใต้ในครั้งนี้มีขึ้นขณะที่แมตทิสอยู่ระหว่างการเดินทางเยือนประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ ด้านงานกลาโหมในภูมิภาคเอเชีย พร้อมเข้าร่วมประชุมกับตัวแทนชาติสมาชิกในกลุ่มอาเซียนเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (23 ต.ค.) โดยมีฟิลิปปินส์รับเป็นเจ้าภาพ ก่อนที่จะเดินทางเยือนไทยเมื่อวานนี้

โดยแมตทิสชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของเครื่องมือทางการทูตที่สหรัฐฯ พยายามจะใช้ค้นหาทางออกของความตึงเครียดนี้กับบรรดาชาติพันธมิตร โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่ผู้นำเกาหลีเหนือมีท่าทีเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงระหว่างประเทศที่สหรัฐฯ เป็นผู้คุมเกมอยู่ ซึ่งการกระทำที่ก้าวร้าวเหล่านั้นเพิ่มมากขึ้นภายหลังจากที่รัฐบาลและกองทัพของชาวโสมแดงสามารถพัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลที่มีระยะการยิงถึงแผ่นดินของสหรัฐฯ ได้

ทำให้แนวโน้มของการเผชิญหน้าและความตึงเครียดในฐานะ ‘คู่สงคราม’ ที่ยังคงดำเนินมาอยู่กว่า 6 ทศวรรษเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าประชาคมโลกและองค์กรระหว่างประเทศอย่างสหประชาชาติจะมีมติคว่ำบาตรระดับสูงสุดเท่าที่เคยมีมาต่อเกาหลีเหนือแล้วก็ตาม

นอกจากแมตทิสจะเดินทางเข้าพบรัฐบาลเกาหลีใต้ในวันนี้แล้ว เขายังมีกำหนดการหารือประจำปีกับพลเอกโจเซฟ ดันฟอร์ด (Joseph Dunford) ผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐฯ ที่ประจำการอยู่ที่เกาหลีใต้ในวันเสาร์นี้ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางเยือนประเทศพันธมิตรในเอเชียของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน เวียดนาม และฟิลิปปินส์ โดยเริ่มเดินทางเยือนตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้เพื่อหารือในประเด็นเกาหลีเหนืออย่างจริงจัง หลังปล่อยให้สงครามน้ำลายยืดเยื้อมานาน

โดย รมต. กลาโหมสหรัฐฯ ยืนยันว่าสหรัฐฯ พร้อมดำเนินมาตรการป้องกันชาติพันธมิตรหากถูกโจมตีจากเกาหลีเหนือ แต่อย่างไรก็ตาม ทุกคนก็ยังคงช่วยกันหาทางออกที่สันติที่สุด

“ไม่มีใครเร่งรัดอยากจะให้เกิดสงคราม”

Photo: AFP

อ้างอิง: