×

Marriage Story การแสดงอันร้าวลึก รอวันระเบิด สะท้อนภาพความสัมพันธ์ในมนุษย์ซึ่งไม่เคยชัดเจน

26.12.2019
  • LOADING...
Marriage Story

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • ในชีวิตประจำวัน เราไม่เคยแสดงออกแบบที่จะพยายามผลักดันอารมณ์ให้คนอื่นรู้ว่าเรารู้สึกอะไร ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกชอบ ไม่พอใจ แอบรัก เรามีแต่เก็บๆๆ แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายคาดเดาว่าเรารู้สึกอย่างไร เราเก็บเอาไว้ คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจเรา จนรอถึงจุดที่มันไม่ไหว แล้วเราจึงระเบิดมันออกมาทีเดียว
  • นิโคลบอกกับเขาว่า เธอไม่เคยร้องไห้บนเวทีการแสดงได้เลย เธอคิดว่าคืนนี้เธอจะมีน้ำตาออกมาได้ (เพราะสถานการณ์ในชีวิตของเธอนั้นน่าร้องไห้มาก) แต่เมื่อเธอพูดจบ เธอกลับหันหลังออกจากห้องนั้นพร้อมกับน้ำตาที่พรั่งพรู แต่นี่แหละคือชีวิตจริง เราไม่เคยอยากร้องไห้ แต่น้ำตามันดันไหลออกมาเอง แล้วเวลาที่อยากร้อง มันกลับแห้งเหือดเสียอย่างนั้น
  • ทั้ง อดัม ไดรเวอร์ และสการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน นั้นล้วนแต่เคยผ่านการเลิกรา หย่าร้าง มันเป็นต้นทุนที่ดีสำหรับนักแสดง ถ้าเรามีลิ้นชักความทรงจำที่มันใกล้เคียงกับสิ่งที่ตัวละครเป็น เพราะความร้าวลึกในสายตาและร่างกายนั้น เป็นสิ่งที่ถ้าไม่เข้าใจก็จะแสดงออกได้ยาก แต่ทั้งคู่มีเรื่องราวอยู่ในตัวเต็มไปหมด โดยไม่ต้องเล่นออกมาว่านี่เขากำลังรู้สึกอะไรอยู่ เขาแค่รู้สึกถึงมัน แล้วเก็บมันเอาไว้ 

 

Marriage Story

 

ทำไมการแสดงของนักแสดงใน Marriage Story ถึงมีอิทธิพลที่ทำให้คนที่เคยผ่านประสบการณ์คล้ายคลึงกันกับตัวละครรู้สึกร่วมไปกับเรื่องอย่างมาก

 

การแสดงที่เราเห็นเป็นธรรมชาติราวกับไม่ได้ท่องบทใน Marriage Story แท้จริงแล้วถูกต้องตามที่เขียนเอาไว้ในบทภาพยนตร์แบบเป๊ะทุกประโยค ทุกคำ แม้แต่จังหวะหยุดหายใจ โดยเฉพาะซีนที่ดราม่าที่สุดของเรื่องนั้น ถูกถ่ายทำแบบที่นักแสดงนำอย่าง สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน (รับบท นิโคล ) และ อดัม ไดรเวอร์ (รับบท ชาร์ลี) ต้องจำจังหวะการเดิน และการหันซ้ายหันขวาแบบเป๊ะๆ ผ่านการถ่ายทำกว่า 50 เทก โดยใช้เวลาในการถ่าย 2 วัน 

 

โนอาห์ บอมบัค ผู้กำกับของเรื่องนี้ให้สัมภาษณ์ว่า มันไม่ใช่ซีนที่จู่ๆ แค่พูดไดอะล็อกออกไป แต่มันต้องรอโมเมนตัมที่เหมาะสม เลยถ่ายแล้วถ่ายอีกตั้งแต่ต้นซีนไปเรื่อยๆ

 

แต่ท่ามกลางการถูกจัดวางเหล่านั้น ทำไมตัวละครจึงดูมีชีวิต จนภาพยนตร์เรื่องนี้เหมือนดึงให้คนดูเข้าไปอยู่กับความรู้สึกของตัวละคร มากกว่าการที่เป็นภาพยนตร์เพื่อการบันเทิงเริงใจ มีอิทธิพลทำให้คนที่เคยผ่านประสบการณ์คล้ายคลึงกันกับตัวละครรู้สึกร่วมไปกับเรื่องมาก ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกของคนที่รักกันผ่านเรื่องราวร่วมกันมา แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับอยู่ร่วมกันไม่ได้ ไปจนถึงความรู้สึกของคนเป็นลูกที่มีพ่อแม่ที่แยกทางกัน

 

อาจจะเป็นเพราะนักแสดงเล่นได้อย่างเป็นธรรมชาติมาก รู้สึกจริงมาก จนคนดูเหมือนไม่ได้ดูละคร แต่กำลังแอบดูเรื่องราวของมนุษย์คู่หนึ่งที่มีชีวิตคล้ายกันกับเรา

 

Marriage Story

Marriage Story

 

อะไรคือการแสดงในระดับเป็นธรรมชาติ 

ศิลปะการแสดงที่ผู้ชมเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้ ถ้าแบ่งในฐานะคนดู เราจะเห็นได้ 2 แบบ คือ  

 

นักแสดงเล่นแบบที่เรารู้เลยว่าตัวละครหรือบทกำลังจะบอกอะไรกับเรา แบบมีภาพในหัวของนักแสดงว่าอยากให้การแสดงในซีนซีนนี้ออกมาเป็นแบบไหน แล้วก็พยายามผลักดันตัวเองให้เป็นแบบนั้น คือ เล่นชัด เสียใจก็ร้องไห้ โกรธก็เล่นชัด

 

กับการแสดงอีกแบบ คือการแสดงที่อารมณ์อยู่ข้างในมากมาย เราไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนว่าเขารู้สึกอย่างไร แต่เขากลับทำให้ ‘เรารู้สึกไปกับมัน’ การแสดงประเภทนี้จะอาศัยจินตนาการและความเชื่อว่า ตัวเองตกลงไปอยู่ในสถานการณ์เดียวกับนักแสดงจริงๆ และยอมปล่อยให้ตัวเองไหลไปกับเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเต็มที่

 

จริงๆ แล้วคำว่าการแสดงที่เป็นธรรมชาตินั้นขึ้นอยู่กับความรู้สึกของคนดูเลย แต่ในฐานะผู้เขียนจะรู้สึกว่าการแสดงที่ธรรมชาติ คือการเลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์ในชีวิตประจำวัน ที่แต่ละคนมีเรื่องมากมายในหัวไปหมด ทั้งเรื่องที่เพิ่งเจอมา เรื่องที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 5 ปีที่แล้ว แต่มันยังวนเวียนในหัวเรา เรื่องที่เรากังวลเกี่ยวกับงานในอนาคต และเรื่องที่เรากำลังดีลตรงหน้า

 

Marriage Story

 

ซึ่งในชีวิตประจำวัน เราไม่เคยแสดงออกแบบที่จะพยายามผลักดันอารมณ์ให้คนอื่นรู้ว่าเรารู้สึกอะไร ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกชอบ ความรู้สึกไม่พอใจ ความรู้สึกแอบรัก เรามีแต่เก็บๆๆ แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายคาดเดาว่าเรารู้สึกอย่างไร 

 

เราเก็บเอาไว้ คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจเรา จนรอถึงจุดที่มันไม่ไหว แล้วเราจึงระเบิดมันออกมาทีเดียว ซึ่งในที่นี้ โนอาห์ บอมบัค ผู้กำกับเลือกทำสิ่งนั้น และนักแสดงก็สามารถถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างเต็มที่มาก คือตัวละครไม่ได้พยายามจะดราม่าฟูมฟายใส่กัน พวกเขากลับพยายามจะทำให้ทุกอย่างมันดีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เรากลับรู้สึกได้ถึงเรื่องราวต่างๆ ใต้คำพูด แววตา และสีหน้านั้น

 

อีกฉากที่น่าสนใจ คือฉากเล็กๆ ในช่วงท้ายเรื่อง ที่ชาร์ลีตัดสินใจย้ายงานมาอยู่แอลเอ แล้วบอกกับนิโคลสั้นๆ ว่าเขาย้ายมาทำงานที่นี่แล้วนะ 

 

นิโคลไม่ตอบอะไร แต่แววตาเธอรู้สึกอย่างมากกับสิ่งนั้น แล้วพยายามกลบเกลื่อนมันออกไป เพราะนั่นเป็นสิ่งที่นิโคลรอคอยมาตลอด ประมาณว่าถ้าเพียงแค่ชาร์ลียอมย้ายกลับมาสักหน่อยตอนนั้น เราคงไม่ต้องแยกทางกัน แต่จะมาพูดอะไรตอนนี้มันก็สายไปหมดแล้ว สการ์เล็ตต์เล่นในซีนนี้ไว้น้อยมากๆ ชนิดที่ดูผ่านๆ อาจจะไม่ได้สังเกตเห็น

 

และนั่นคือการไม่ได้พยายาม Pushing Emotions แบบที่ชาร์ลีคอมเมนต์การแสดงละครเวทีของนิโคลในรอบสุดท้ายว่า “You Were Pushing Emotion” พูดง่ายๆ คือ ข้างในอาจจะไม่รู้สึกขนาดนั้น แต่เธอพยายามบิลด์และทำท่าให้ดูเศร้าโศก บีบเค้นให้น้ำตามันไหลออกมา เพราะเธอเชื่อว่าในความเจ็บปวดนี้นักแสดงควรจะมีน้ำตา

 

นิโคลบอกกับเขาว่า เธอไม่เคยร้องไห้บนเวทีการแสดงได้เลย เธอคิดว่าคืนนี้เธอจะมีน้ำตาออกมาได้ (เพราะสถานการณ์ในชีวิตของเธอนั้นน่าร้องไห้มาก) แต่เมื่อเธอพูดจบ เธอกลับหันหลังออกจากห้องนั้นพร้อมกับน้ำตาที่พรั่งพรู

 

นี่แหละคือชีวิตจริง เราไม่เคยอยากร้องไห้ แต่น้ำตามันดันไหลออกมาเอง

แล้วเวลาที่อยากร้อง มันกลับแห้งเหือดเสียอย่างนั้น

 

องค์ประกอบอะไรที่ทำให้เกิดการแสดงที่ดีนี้ได้

โนอาห์ บอมบัค ที่ทั้งกำกับและเขียนบทเคยให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องราวใน Marriage Story นั้นมีเค้าโครงส่วนหนึ่งมาจากตัวเขาเอง รวมไปถึงเรื่องราวของบุคคลรายรอบ “ผมเป็นเด็กที่มาจากครอบครัวหย่าร้าง และผมเองก็ผ่านการหย่าร้างมาแล้วเช่นกัน” และในช่วงที่โนอาห์เขียนบทเรื่องนี้ เพื่อนสนิทสองคนของเขาก็อยู่ระหว่างการหย่าร้าง 

 

ขณะเดียวกัน นักแสดงนำของเรื่องเองก็มีประสบการณ์ร่วม ทั้ง อดัม ไดรเวอร์ และสการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน นั้นล้วนแต่เคยผ่านการเลิกรา หย่าร้าง มันเป็นต้นทุนที่ดีสำหรับนักแสดง ถ้าเรามีลิ้นชักความทรงจำที่มันใกล้เคียงกับสิ่งที่ตัวละครเป็น เพราะความร้าวลึกในสายตาและร่างกายนั้น เป็นสิ่งที่ถ้าไม่เข้าใจก็จะแสดงออกได้ยาก แต่ทั้งคู่มีเรื่องราวอยู่ในตัวเต็มไปหมด โดยไม่ต้องเล่นออกมาว่านี่เขากำลังรู้สึกอะไรอยู่ เขาแค่รู้สึกถึงมัน แล้วเก็บมันเอาไว้ 

 

การทำการบ้านที่ดี ความซับซ้อนของตัวละครที่ใช้ชีวิตแต่งงานร่วมกันมากว่า 10 ปี มีเบื้องหลังร่วมกันมากมาย ที่ถึงแม้เราไม่ได้เห็นเป็นภาพในภาพยนตร์ แต่เราสามารถจินตนาการต่อไปได้ถึงภาพในอดีตเหล่านั้น จากการที่ตัวละครเล่าให้คนอื่นฟัง ไม่ว่าจะเป็นการตกหลุมรักกันครั้งแรก ความรู้สึกของการซัพพอร์ตความฝันของกันและกันมาตลอดช่วงเวลาความสัมพันธ์อันยาวนาน 

 

สิ่งเหล่านี้ปรากฏออกผลให้คนดูได้เห็น ผ่านความรู้สึกดีใจที่รับรู้ว่าคนที่เราเคยเดินเคียงข้างและซัพพอร์ตความฝันของเขามาตลอด กำลังจะได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในสาขาอาชีพของเขา ถึงแม้ว่าในเวลานั้น ทั้งคู่จะมีสถานะในชีวิตระหว่างกันและกันที่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วก็ตาม…

 

Marriage Story

Marriage Story

 

 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising