บรรยากาศตลาดหุ้น Wall Street เมื่อวานนี้ (8 พฤศจิกายน) ขยับเคลื่อนไหวอย่างคึกคักก่อนปิดตลาดในแดนบวกทั่วหน้า โดยเฉพาะดัชนี S&P 500 ที่พุ่งขึ้นเกิน 4,700 จุดเป็นครั้งแรก ขานรับสภาคองเกรสผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจและความต้องการใช้พลังงาน
อย่างไรก็ตาม ตลาด Wall Street ไม่สามารถขยับขึ้นได้มากนัก เนื่องจากโดนสกัดจากหุ้นของ Tesla Inc กรณีโพลขายหุ้น 10% ของ อีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง Tesla
ทั้งนี้ดัชนีอุตสาหกรรม Dow Jones เพิ่มขึ้น 104.27 จุด หรือ 0.29% ปิดที่ 36,432.22 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 4.17 จุด หรือ 0.09% ปิดที่ 4,701.70 จุด ทำให้นับตั้งแต่ต้นปี ดัชนี S&P 500 ขยับเพิ่มขึ้นมากกว่า 25% และขยับทำนิวไฮแล้ว 64 ครั้ง ส่วนดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 10.77 จุด หรือ 0.07% ปิดที่ 15,982.36 จุด
การผ่านร่างกฎหมายโครงการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน ถือเป็นหนึ่งความเคลื่อนไหวหลักที่ผลักดันให้นักลงทุนเชื่อมั่นและกลับเข้ามาลงทุนในตลาดอย่างคึกคัก เนื่องจากเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะขยายตัวเติบโตต่อไปได้ โดยโครงการดังกล่าวจะรวมถึงการใช้จ่ายงบประมาณในการก่อสร้างถนน สะพาน ทางรถไฟ ปัจจัยพื้นฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และโครงการอื่นๆ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงานในสหรัฐฯ หลังเผชิญวิกฤตโควิดระบาดมานานกว่า 1 ปี
หุ้นที่มีการขยับเคลื่อนไหวมากที่สุดก็คือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์วัสดุก่อสร้าง เช่น เหล็กและเครื่องจักรเพื่อการก่อสร้าง ขณะที่หุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีโลกเสมือน หรือ Metaverse ก็ได้รับความสนใจจากนักลงทุนไม่แพ้กัน
ยิ่งไปกว่านั้น ตลาด Wall Street ยังได้รับแรงหนุนจากข่าวดีด้านตลาดแรงงานในเดือนตุลาคมที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นถึง 531,000 ตำแหน่ง มากกว่าที่คาดการณ์กันไว้ สะท้อนให้เห็นสัญญาณฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของหุ้น Tesla Inc เมื่อวานนี้ (8 พฤศจิกายน) ถือเป็นตัวสกัดไม่ให้ดัชนีหุ้นพุ่งแรง เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่ามัสก์ต้องขายหุ้น 10% ตามที่ลั่นวาจาไว้บนทวิตเตอร์ หลังขอให้ผู้ติดตามกว่า 62 ล้านคนช่วยลงความเห็นว่าควรขายหุ้นที่ถือไว้ 10% เพื่อนำมาจ่ายภาษีหรือไม่
ด้านราคาทองคำปรับขึ้นตามทิศทางสัญญาณการเติบโตของเศรษฐกิจ ที่ทำให้แนวโน้มความต้องการบริโภคพลังงานเพิ่มสูงขึ้น โดยสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 66 เซนต์ ปิดที่ 81.93 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบเบรนต์ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 69 เซนต์ ปิดที่ 83.43 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
นอกจากนี้ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากการที่ เจนนิเฟอร์ แกรนโฮล์ม รัฐมนตรีพลังงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่า รัฐบาลกรุงวอชิงตันกำลังพิจารณาทางเลือกต่างๆ ในการจัดการกับราคาเบนซินและน้ำมันที่แพงขึ้นในสหรัฐฯ ทำให้พวกนักวิเคราะห์บางส่วนคาดว่าอาจเกี่ยวข้องกับการปล่อยคลังปิโตรเลียมสำรองทางยุทธศาสตร์ของอเมริกาเพื่อเพิ่มปริมาณซัพพลาย
ราคาทองคำเมื่อวานนี้ (8 พฤศจิกายน) ปิดตลาดปรับตัวในแดนบวกต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 และทำสถิติแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 เดือน โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 11.20 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 1,828.00 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
อ้างอิง:
- https://www.cnbc.com/2021/11/07/stock-market-futures-open-to-close-news.html
- https://www.cnbc.com/2021/11/08/oil-markets-aramco-saudi-arabia.html
- https://www.cnbc.com/2021/11/05/gold-markets-us-federal-reserve.html
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP