เกิดอะไรขึ้น:
ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงการจัดทำโรดแมปในการเปลี่ยนผ่านการระบาดของโควิดสู่การเป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งคาดว่าจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 โดยจะเกิดขึ้นพร้อมกับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในประเทศเพิ่มขึ้นเพื่อความปลอดภัยด้านสุขภาพ (เป้าหมาย 60% เทียบกับปัจจุบันที่ 31.9%) และการยกเลิกข้อจำกัดการเดินทางเพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ประเทศไทยจะยกเลิกข้อกำหนดให้มีการตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทางสำหรับผู้เดินทางเข้ามาทุกกลุ่ม แต่ยังมีการตรวจ RT-PCR เมื่อมาถึงประเทศไทย และการตรวจ ATK ด้วยตนเองในวันที่ 5 หลังเดินทางมาถึง ข้อจำกัดการเดินทางทั้งหมดคาดว่าจะมีการยกเลิกเมื่อโควิดกลายเป็นโรคประจำถิ่น
ในมุมมอง SCBS ว่าด้วยความเร็วในการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยมีความแน่นอนมากขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากเส้นทางการเปิดประเทศที่เป็นรูปธรรมชัดเจนอันเป็นผลมาจากการฉีดวัคซีนได้มากขึ้น ซึ่งช่วยลดความรุนแรงของอาการ ข้อจำกัดในการรักษาตัวในโรงพยาบาลผ่อนคลายลง และความเสี่ยงด้านนโยบาย (เช่น มาตรการล็อกดาวน์ และข้อจำกัดการเดินทาง) ลดลง
โดยได้ประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยไว้ที่ 8 ล้านคนในปี 2565 และ 25 ล้านคนในปี 2566 หรือ 20% และ 63% ของระดับก่อนเกิดโควิดตามลำดับ ในขณะที่เศรษฐกิจกำลังเผชิญกับความท้าทายสืบเนื่องมาจากความกังวลว่าความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนจะส่งผลกระทบต่อความต้องการเดินทางต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรัสเซีย
อย่างไรก็ตาม SCBS คาดว่าจะเห็นความต้องการเดินทางที่ค้างจากช่วงก่อนหน้า (Pent-up Demand) จำนวนมากจากนักท่องเที่ยวระยะใกล้ (จะคิดเป็น 51% ของนักท่องเที่ยวขาเข้าทั้งหมดในปี 2565) ซึ่งส่วนใหญ่มาจากอาเซียน เนื่องจากหลายๆ ประเทศกำลังฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยการยกเลิกข้อจำกัดการเดินทาง
ส่วนปัจจัยเสี่ยงต่อประมาณการดังกล่าว คือการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคและความต้องการเดินทางและการฟื้นตัวช้าของนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน (ตลาดใหญ่ที่สุดที่ 28% ของจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าทั้งหมดในปี 2562) โดยใช้สมมติฐานว่านักท่องเที่ยวจากประเทศจีนจะค่อยๆ เริ่มกลับมาเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศใน 2H65 และจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2566
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว (SETTOURISM) ปรับเพิ่มขึ้น 4.3%MoM โดย
ราคาหุ้น CENTEL ปรับเพิ่มขึ้น 9.7%MoM สู่ระดับ 39.50 บาท
ราคาหุ้น ERW ปรับเพิ่มขึ้น 5.2%MoM สู่ระดับ 3.26 บาท
ราคาหุ้น AOT ไม่เปลี่ยนแปลง MoM ที่ระดับ 65.00 บาท
ราคาหุ้น AWC ไม่เปลี่ยนแปลง MoM ที่ระดับ 5.00 บาท
ราคาหุ้น MINT ไม่เปลี่ยนแปลง MoM ที่ระดับ 32.00 บาท
ราคาหุ้น AAV ปรับลดลง 3.8%MoM อยู่ที่ระดับ 2.54 บาท
มุมมองต่อผู้ประกอบการ:
SCBS มีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย โดยเลือก AOT, ERW และ AWC เป็นหุ้นเด่น เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศสูง: AOT ที่ 100%, ERW ที่ 95% และ AWC ที่ 66% จึงเชื่อว่าความแน่นอนมากขึ้นเกี่ยวกับความเร็วในการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยจะช่วยลดความเสี่ยงเกี่ยวกับการฟื้นตัวของผลประกอบการ และจะช่วยสนับสนุนให้สถานะทางการเงินปรับตัวดีขึ้น โดยมองว่าปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งมากขึ้นน่าจะสนับสนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีมุมมองต่อ 3 หุ้นเด่น ดังนี้
AOT เป็นตัวแทนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย โดยคาดว่าบริษัทจะรับประโยชน์จาก Operational Leverage (ต้นทุนคงที่สูง) เมื่อนักท่องเที่ยวกลับเข้ามา คาดว่าบริษัทจะรายงานขาดทุนลดลงสู่ 1.0 หมื่นล้านบาทในปี FY2565 และจะพลิกกลับมามีกำไรปกติ 1.38 หมื่นล้านบาทในปี FY2566 ปัจจุบันหุ้น AOT เทรดต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิดอยู่ 12%
ERW คาดว่าผลประกอบการจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากขาดทุนปกติจะลดลงสู่ 1.1 พันล้านบาทในปี 2565 (จาก 2.0 พันล้านบาทในปี 2564) อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนจะทำจุดสูงสุดในปี 2565 และหลังจากนั้นจะลดลง โดยเกิดจากผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้นและความพยายามของบริษัทในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับงบดุลด้วยการขายสินทรัพย์
ปัจจุบันหุ้น ERW เทรดต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิดอยู่ 16%
และ AWC ที่คาดการณ์ขาดทุนปกติ 965 ล้านบาทในปี 2565 ดีขึ้นจากขาดทุนปกติ 3.0 พันล้านบาทในปี 2564 โดยได้รับการสนับสนุนจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยที่แข็งแกร่งมากขึ้นและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าของบริษัท ปัจจุบันหุ้น AWC เทรดต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิดอยู่ 14%
ทั้งนี้ในระยะสั้น กลุ่มท่องเที่ยวอาจเผชิญกับความผันผวนจากความกังวลเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ในเดือนเมษายน แต่ไม่คิดว่าจะเกิดการล็อกดาวน์อย่างเข้มข้นที่จะส่งผลทำให้โรดแมปเปิดประเทศสะดุดลง
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP