×

หุ้นไทยร่วงหลุด 1,400 ตามตลาดหุ้นโลก หลังผิดหวังมาตรการ Fed ที่ลดวงเงิน QE

โดย SCB WEALTH
11.06.2020
  • LOADING...

เกิดอะไรขึ้น:

เมื่อคืนที่ผ่านมา (10 มิถุนายน) มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) โดยที่ประชุมมีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0-0.25% พร้อมประกาศลดวงเงิน QE จากการซื้ออย่างไม่จำกัดเป็นการซื้อสุทธิไม่เกิน 1.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน โดยแบ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาลจำนวน 8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และ MBS จำนวน 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

นอกจากนี้ Fed ยังได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ รวมถึงปรับเพิ่มอัตราการว่างงาน ดังนี้

 

  1. ปรับประมาณการการเติบโต GDP ปี 2563 เป็นหดตัว 6.5% (จากเดิมคาดขยายตัว 2.0%) และปี 2564 ขยายตัว 5.9% (เดิมคาดขยายตัว 1.9%)

 

  1. ปรับประมาณการอัตราเงินเฟ้อ (Core PCE) ปี 2563 เป็นขยายตัว 1.0% (เกิดจากขยายตัว 1.9%) และปี 2564 ขยายตัว 1.5% (เดิมคาดขยายตัว 2.0%)

 

  1. ปรับการคาดการณ์อัตราการว่างงานปี 2563 เป็น 9.3% (เดิมคาด 3.5%) และปี 2564 คาดอยู่ที่ 6.5% (เดิมคาดไว้ที่ 3.6%)

 

กระทบอย่างไร:

วันนี้ (11 มิถุนายน) ตลาดหุ้นไทย (SET Index) ปรับตัว 22 จุด หรือลด 1.55%DoD สู่ระดับ1,396.77 จุด ตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก โดยหุ้นที่ปรับตัวลงและกดดันต่อดัชนีในวันนี้ ได้แก่

 

  • ราคาหุ้น บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) ลดลง 3.76% สู่ระดับ 64.00 บาท มีผลต่อดัชนี -3.32 จุด
  • ราคาหุ้น บมจ. ปตท. (PTT) ลดลง 1.91% สู่ระดับ 38.50 บาท มีผลต่อดัชนี -1.99 จุด
  • ราคาหุ้น บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ลดลง 2.86% สู่ระดับ 93.50 บาท มีผลต่อดัชนี -1.01 จุด
  • ราคาหุ้น บมจ. ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ลดลง 3.86% สู่ระดับ 112.00 บาท มีผลต่อดัชนี -1.00 จุด
  • ราคาหุ้น บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ลดลง 4.59% สู่ระดับ 46.75 บาท มีผลต่อดัชนี -0.94 จุด

 

มุมมองระยะสั้น:

SCBS มองว่าการปรับลดวงเงิน QE และการปรับลดประมาณการทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในครั้งนี้จะเป็นสัญญาณเชิงลบต่อสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะตลาดหุ้น เนื่องจากก่อนหน้านี้ตลาดมีการรับรู้ว่า Fed จะทำ QE อย่างไม่จำกัด 

 

นอกจากนี้มูลค่าพื้นฐาน (Valuation) ของตลาดหุ้นไทยยังคงตึงตัว โดยปัจจุบันตลาดหุ้นไทยซื้อขายที่ P/E ปี 2563 ที่ระดับ 21.4 เท่า สูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน โดยในระยะสั้นนี้ต้องจับตาแนวรับสำคัญที่ระดับ 1,374 จุด หากดัชนีหลุดต่ำกว่าจุดนี้จะถือเป็นสัญญาณลบและอาจเห็นการปรับฐานได้

 

ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมานั้นตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดในเดือนมีนาคมที่ 969.08 จุด สู่จุดสูงสุดในเดือนนี้ที่ระดับ 1,454.95 (เพิ่มขึ้น 485.87 จุด หรือ 50.14%) เนื่องจากนักลงทุนขานรับต่อมาตรการเยียวยาทางเศรษฐกิจที่บังคับใช้มาตั้งแต่เดือนเมษายน ตลอดจนคาดหวังต่อผลประกอบการที่จะฟื้นตัวดีขึ้นในครึ่งปีหลังของปี 2563 หลังจากที่รัฐบาลได้เริ่มผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ อีกทั้งตลาดหุ้นไทยยังได้ปัจจัยหนุนจากกระแส Fund Flow ที่ไหลเข้าในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ SET Index ปรับขึ้นทะลุ 1,400 จุดได้

 

มุมมองระยะยาว:

SCBS คาดว่าในระยะยาวภาพรวมของตลาดหุ้นจะยังคงเผชิญกับความท้าทายจาก

 

  1. การลดทอนการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการการเงินและการคลังของสหรัฐฯ 
  2. ความเสี่ยงของสงครามเย็นระหว่างสหรัฐฯ และจีน 
  3. การประท้วงเรื่องเชื้อชาติในสหรัฐฯ ที่รุนแรงขึ้น 
  4. การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่อาจเข้มข้นขึ้นหากผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครตได้คะแนนนำ ซึ่งอาจทำให้ตลาดกลับมากังวลเรื่องการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนอีกครั้ง

 

 

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising