เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) รายงานกำไรสุทธิ 1Q66 เติบโตก้าวกระโดดสู่ 1.65 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 87%YoY และเพิ่มขึ้น 10,410%QoQ สูงกว่าคาด 347% และสูงกว่า Consensus คาด 336% เพราะมีกำไรพิเศษจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนจากธุรกรรมการรวมกิจการ SCGJWD Logistics จำนวนมากถึง 1.2 หมื่นล้านบาท หากตัดรายการพิเศษดังกล่าวออกไป กำไรปกติ 1Q66 อยู่ที่ 4.5 พันล้านบาท เป็นไปตามคาด
โดยกำไรปกติ 1Q66 ปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก QoQ ซึ่งเกิดจาก
- ส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวดีขึ้น (ส่วนต่างราคาโพลิเอทิลีนความหนาแน่นสูง (HDPE) อยู่ที่ 396 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ใน 1Q66 เทียบกับ 361 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันใน 4Q65 และส่วนต่างราคาโพลิโพรพิลีน (PP) อยู่ที่ 380 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันใน 1Q66 เทียบกับ 302 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันใน 4Q65)
- ปริมาณการผลิตที่สูงขึ้นหลังจากบริษัทกลับมาเดินเครื่องโรงงาน Rayong Olefins Complex (ROC) ในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนกุมภาพันธ์ ส่งผลทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตโอเลฟินส์ปรับเพิ่มขึ้นจาก 70% ใน 4Q65 สู่ 75-80% ใน 1Q66 (ปริมาณการผลิตโพลิโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นจาก 331,000 ตันใน 4Q65 สู่ 390,000 ตันใน 1Q66)
- ธุรกิจ CBM ซึ่งพลิกกลับมามีกำไรปกติ 1.5 พันล้านบาท ใน 1Q66 จากขาดทุนปกติ 157 ล้านบาท ใน 4Q65 จากปัจจัยฤดูกาลและความต้องการปูนซีเมนต์ที่ปรับตัวดีขึ้นเพราะเศรษฐกิจฟื้นตัวและจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ (SCGP, OUTPERFORM, ราคาเป้าหมาย 65 บาท) ก็ปรับตัวดีขึ้นใน 1Q66 โดยได้รับการสนับสนุนจากต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่ลดลง
กระทบอย่างไร:
วันนี้ (27 เมษายน) ณ เวลา 12.30 น. ราคาหุ้น SCC ปรับเพิ่มขึ้น 2.99%DoD สู่ระดับ 310 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลดลง 0.71%DoD อยู่ที่ระดับ 1,533.03 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2566:
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการใน 2Q66 InnovestX Research มีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีหลังจากจีนผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่มีความต้องการใช้โพลิโอเลฟินส์มากที่สุดในโลก (ราว 25-30% ของความต้องการใช้โพลิโอเลฟินส์ทั่วโลก)
ซึ่งคาดว่าราคาและส่วนต่างราคา HDPE/PP จะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในระยะ 2-3 ไตรมาสข้างหน้า โดยได้รับการสนับสนุนจากการเปิดประเทศของจีนซึ่งจะผลักดันให้อุปสงค์ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้น และลดทอนผลกระทบจากสถานการณ์อุปทานล้นตลาดในปัจจุบัน
ส่วนปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ การเปลี่ยนแปลงในด้านกำลังซื้อและต้นทุนที่สูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงอุปทานเพิ่มเติมจำนวนมากที่จะเข้าสู่ตลาด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- คัดมาให้ 9 หุ้น SETHD ปันผลเกิน 3.50% ต่อเนื่องติดกัน
- 8 อันดับหุ้นกลุ่มน้ำมันสุดแกร่ง ผลตอบแทนราคา YTD ปี 65 ยังบวก
- หุ้น AURA พุ่งแรง! เข้าเทรดใน SET วันแรกด้วยราคาเปิดที่ 13.90 บาท เพิ่มขึ้น 27.52% จากราคา IPO