เกิดอะไรขึ้น:
SCBS ได้จัดทำบทวิเคราะห์ประมาณการกำไรไตรมาส 2/63 ของหุ้นกลุ่มค้าปลีก ซึ่งประกอบไปด้วย บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC), บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL), บมจ.สยามแม็คโคร (MAKRO), บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) และ บมจ.สยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL)
กระทบอย่างไร:
นับตั้งแต่ 2/63 จนถึงปัจจุบัน (21 กรกฎาคม) ราคาหุ้นกลุ่มค้าปลีกฟื้นตัว 20% จากความคาดหวังผลประกอบการจะฟื้นตัวดีขึ้นในครึ่งปีหลัง หลังภาครัฐผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ โดย
- ราคาหุ้น บมจ.สยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) เพิ่มขึ้น 91.26% สู่ระดับ 17.50 บาท
- ราคาหุ้น บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) เพิ่มขึ้น 39.64% สู่ระดับ 15.50 บาท
- ราคาหุ้น บมจ.สยามแม็คโคร (MAKRO) เพิ่มขึ้น 29.55% สู่ระดับ 42.75 บาท
- ราคาหุ้น บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) เพิ่มขึ้น 7.79% สู่ระดับ 65.75 บาท
- ราคาหุ้น บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) ไม่เปลี่ยนแปลง อยู่ที่ระดับ 40.50 บาท
(ข้อมูลราคาปิด ณ วันที่ 21 กรกฎาคม 2563 เวลา 12.30 น.)
มุมมองระยะสั้น:
SCBS คาดว่าทิศทางกำไรปกติไตรมาส 2/63 ของหุ้นกลุ่มค้าปลีกจะเป็นไตรมาสที่แย่ที่สุด โดยจะหดตัวลง 53% YoY และ QoQ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยยอดขายสาขาเดิม หรือ Same Store Sales (SSS) ไตรมาส 2/63 จะหดตัวต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ลดลง -16.6% YoY โดย SCBS คาดว่าในเดือนเมษายนจะได้รับผลกระทบมากที่สุดเนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวรัฐบาลได้ออกคำสั่งปิดร้านจำหน่ายสินค้า และพื้นที่ขายสินค้าอุปโภค ห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การยกเลิกวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ รวมถึงประกาศเคอร์ฟิวช่วงกลางคืน ขณะที่ในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน SSS จะค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้นจากเดือนเมษายน จากการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์
ทั้งนี้ SCBS ได้สรุปประมาณการกำไรปกติ และไฮไลต์สำคัญของหุ้นกลุ่มค้าปลีกรายตัวดังนี้
- GLOBAL จะรายงานกำไรปกติไตรมาส 2/63 หดตัวน้อยสุดในกลุ่มค้าปลีก ลดลง 15% YoY และลดลง 27% QoQ สู่ระดับ 452 ล้านบาท โดยเกิดจาก SSS ที่หดตัวลง 20% YoY แต่จะได้รับการชดเชยบางส่วนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีดขึ้น 410 bps YoY สู่ 23.7% จากฐานต่ำของปีก่อนหน้า และสัดส่วนยอดขายสินค้า Private Brand ที่มีอัตรากำไรสูงเพิ่มขึ้น
- MAKRO จะรายงานกำไรปกติไตรมาส 2/63 ลดลง 27% YoY และลดลง 48% QoQ สู่ระดับ 882 ล้านบาท โดยมีสาเหตุมาจาก SSS ลดลง 5% YoY แต่ได้รับการชดเชยจากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 10 bps YoY สู่ระดับ 9.6% ซึ่งเกิดจากสัดส่วนยอดขายอาหารที่ให้อัตรากำไรสูงเพิ่มขึ้น
- HMPRO จะรายงานกำไรปกติไตรมาส 2/63 ลดลง 44% YoY และลดลง 33% QoQ สู่ระดับ 854 ล้านบาท โดยมีสาเหตุมาจาก SSS ลดลง 20% YoY รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่อ่อนแอลง 70 bps YoY สู่ระดับ 25.7% ซึ่งเกิดจากสัดส่วนยอดขายที่มีอัตรากำไรสูงลดลง รวมถึง EBIT Margin ลดลง 320 bps YoY สู่ระดับ 8.9% ซึ่งเกิดจากอัตรากำไรขั้นต้นที่แคปลง รายได้ค่าเช่า และรายได้อื่นที่ลดลง
- CPALL จะรายงานกำไรปกติไตรมาส 2/63 ลดลง 55% YoY และลดลง 57% QoQ สู่ระดับ 2.4 พันล้านบาท โดยมีสาเหตุมาจาก SSS ลดลง 22% YoY รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่อ่อนแอลง 100 bps YoY สู่ระดับ 21.6% ซึ่งเกิดจากการจัดโปรโมชันร่วมกับคู่ค้าเพื่อดึงดูดลูกค้าในช่วงล็อกดาวน์ ขณะที่ต้นทุนคงที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึง EBIT Margin ลดลง 150 bps YoY สู่ระดับ 4.3% ซึ่งเกิดจากอัตรากำไรขั้นต้นที่แคปลง รวมถึง SG&A ไม่ได้ลดลงตามยอดขาย
- BJC จะรายงานกำไรปกติไตรมาส 2/63 ลดลง 83% YoY และลดลง 74% QoQ สู่ระดับ 312 ล้านบาท โดยมีสาเหตุมาจาก SSS ลดลง 16% YoY รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่อ่อนแอลง 60 bps YoY สู่ระดับ 19.4% ซึ่งเกิดสัดส่วนยอดขายสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงลดลง และการประหยัดต่อขนาดลดลง เพราะยอดขายในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ลดลง นอกจากนี้ EBIT Margin ลดลง 320 bps YoY สู่ระดับ 8.9% ซึ่งเกิดจากอัตรากำไรขั้นต้นที่แคปลง รายได้ค่าเช่าลดลง ขณะที่ SG&A ไม่ได้ลดลงตามยอดขาย
มุมมองระยะยาว:
SCBS คาดว่า SSS ของหุ้นกลุ่มค้าปลีกได้ทำจุดต่ำสุดในไตรมาส 2/63 และจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นในครึ่งปีหลังของปี 2563 หลังจากที่รัฐบาลผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์มากขึ้น และกิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น แต่ยังไม่กลับสู่ระดับระดับปกติ เนื่องจากกำลังซื้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ
อย่างไรก็ดี ต้องติดตามมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากทางรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศ อาทิ มาตรการชิมช้อปใช้ รวมถึงมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทย ซึ่งคาดช่วยหนุนบรรยากาศจับจ่ายใช้สอย และความเชื่อมั่นผู้บริโภคให้ปรับตัวดีขึ้นได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้
ข้อมูลเพิ่มเติม:
สามารถอ่านบทวิเคราะห์หุ้นกลุ่มค้าปลีกฉบับเต็มได้จากทาง SCBS
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์