เกิดอะไรขึ้น:
InnovestX Research ได้จัดทำบทวิเคราะห์พรีวิวผลประกอบการ 3Q65 ของ บมจ.โอสถสภา (OSP) ซึ่งคาดว่าจะรายงานผลประกอบการวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น OSP ปรับลดลง 13.04%MoM อยู่ที่ระดับ 25.00 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลดลง 2.75%MoM อยู่ที่ระดับ 1,585.60 จุด
พรีวิวผลประกอบการ 3Q65:
InnovestX Research คาดการณ์กำไรสุทธิ 3Q65 ของ OSP ที่ 270 ล้านบาท (ลดลง 53.4%YoY และ 55.2%QoQ) ทำสถิติต่ำสุดรายไตรมาส โดยรายได้น่าจะอยู่ในระดับทรงตัว YoY แต่ลดลง 14.3%QoQ โดยอิงกับรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังที่อ่อนตัวลงทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในขณะที่รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลฟื้นตัว YoY และ QoQ
ด้านอัตรากำไรขั้นต้นน่าจะอยู่ที่ 30% ลดลงจาก 31.2% ใน 2Q65 และ 33.5% ใน 3Q64 เพราะได้รับแรงกดดันจากการประหยัดต่อขนาดที่ลดน้อยลงจากการผลิตขวดแก้วและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติซึ่งคิดเป็น 6% ของต้นทุนทั้งหมด
ส่วนอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A ต่อยอดขายคาดว่าจะอยู่ในระดับสูง โดยเกิดจากการประหยัดต่อขนาดลดน้อยลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น และมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนจากเมียนมา
ทั้งนี้ OSP เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ขวดละ 10 บาท เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด โดยใน 3Q65 คาดการณ์ส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังของ OSP ที่ 48-49% เทียบกับ 49.1% ใน 2Q65 และ 54% ใน 1Q65 การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ M-150 (ผสมกระชายดำและน้ำผึ้ง) ขวดละ 10 บาท เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายที่ค่อนข้างจำกัด โดยส่วนใหญ่จำหน่ายในร้านค้าแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) และหน่วยรถจำหน่ายสินค้า (Cash Van) ดังนั้นผลิตภัณฑ์นี้จะไม่มีให้เห็นในร้านค้าสมัยใหม่ (Modern Trade) และไม่มีขายในกรุงเทพฯ
ซึ่ง OSP ตั้งเป้ากลับมาครองส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังขวดละ 10 บาทภายใน 6 เดือน หลังจากส่วนแบ่งการตลาดโดยรวมลดลงใน 2Q65 จากการปรับราคา M-150 แบบดั้งเดิมเพิ่มขึ้นจากขวดละ 10 บาท เป็น 12 บาท
แนวโน้มผลประกอบการปี 2565:
แนวโน้มผลประกอบการในปี 2565 รวมถึงปี 2566 เมื่อพิจารณาแรงกดดันจาก
- ส่วนแบ่งการตลาดที่ลดลง หลังจาก OSP ปรับราคาขาย M-150 เพิ่มขึ้นเป็นขวดละ 12 บาทในเดือนมีนาคม (ซึ่งบริษัทหวังว่าจะทวงส่วนแบ่งการตลาดกลับมาได้หลังจากเปิดตัวผลิตภัณฑ์ M-150 รสใหม่ขวดละ 10 บาทในช่วงต้น 3Q65)
- ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติ และการผลิตขวดแก้ว
- ค่าใช้จ่าย SG&A ที่สูงขึ้นจากขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน
- การเติบโตในต่างประเทศที่ชะลอตัวลง
InnovestX Research จึงปรับประมาณการอัตรากำไรขั้นต้นปี 2565 ลดลงจาก 35% สู่ 31% และปี 2566 ลดลงจาก 35.5% สู่ 32% ขณะที่ปรับประมาณการอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A ต่อยอดขายในปี 2565 และปี 2566 เพิ่มขึ้นจาก 22% สู่ 23.5%
ส่งผลทำให้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ลดลง 32% สู่ 2.1 พันล้านบาท (ลดลง 35%YoY) และปี 2566 ลดลง 23% สู่ 2.5 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 19%YoY)
อย่างไรก็ดี ส่วนแบ่งการตลาดของ OSP คาดว่าจะฟื้นตัวตั้งแต่ 2Q66 เป็นต้นไป และบริษัทจะควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับปัจจัยเสี่ยงและความกังวลคือ การแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดเครื่องดื่ม ทั้งเครื่องดื่มบำรุงกำลังและเครื่องดื่ม Functional Drink ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต้นทุนวัตถุดิบหลักยังอยู่ในระดับสูง สถานการณ์เศรษฐกิจและค่าเงินของกลุ่มประเทศ CLMV ก็เป็นสิ่งที่ต้องจับตา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เปิดรายชื่อ ‘10 บลจ. ของไทย’ ควักเงินจองซื้อหุ้น IPO ‘เบทาโกร’ หรือ BTG วงเงินรวมกันกว่า 3.63 พันล้านบาท
- อัปเดต 7 หุ้น พอร์ต เซียนฮง สถาพร งามเรืองพงศ์ มูลค่า 6.14 พันล้านบาท
- 10 หุ้น ขึ้น XD จ่ายเงินปันผลสูงสุดในรอบเดือน ก.ย. 65