×

หุ้นกลุ่มธนาคาร – รวมโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเข้ามาในประมาณการ

24.09.2024
  • LOADING...

เกิดอะไรขึ้น:

 

หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ปรับอัตราดอกเบี้ย Fed Fund Rate ลดลง 50 bps นักเศรษฐศาสตร์ของ InnovestX คาดการณ์ว่า ธปท. จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลง 50 bps ใน 4Q67 และ 50 bps ใน 1H68 ซึ่งคาดว่าธนาคารขนาดใหญ่จะลดผลกระทบเชิงลบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้น้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ และคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (MLR MOR MRR) จะลดลง 25 bps อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำจะลดลง 50 bps ใน 4Q67 และ 1H68 

 

การใช้สมมติฐานว่า ธนาคารต่างๆ จะคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ไว้เท่าเดิม สำหรับปี 2567 ทำให้คาดว่า NIM ของธนาคารทุกแห่งจะได้รับผลกระทบเชิงลบเพียงเล็กน้อยที่ 1-2 bps สำหรับปี 2568-2569 InnovestX Research ปรับประมาณการ NIM ของธนาคารขนาดใหญ่ลดลง 4-9 bps แต่ปรับประมาณการ NIM ของ TISCO และ KKP เพิ่มขึ้น 6-11 bps ขณะที่ใน 4Q67 คาดว่า NIM ของธนาคารทุกแห่งจะหดตัวลง 8-12 bps ซึ่งเป็นผลมาจาก Lag Time ในการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสำหรับปี 2568-2569 ปัจจุบันคาดว่า NIM ของธนาคารขนาดใหญ่จะหดตัวลง 4-12 bps แต่ NIM ของ TISCO จะขยายตัว 10-11 bps และ NIM ของ KKP จะขยายตัว 6-9 bps 

 

สำหรับปี 2568 และ 2569 คาดว่า NIM ของ BBL จะหดตัวลงมากที่สุดที่ 8-12 bps และ NIM ของ TISCO จะขยายตัวมากที่สุดที่ 10-12 bps

 

การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้น่าจะส่งผลบวกต่อคุณภาพสินทรัพย์ โดยจะเปิดโอกาสให้ธนาคารต่างๆ ตั้งสำรอง (Credit Cost) ลดลง ดังนั้นจึงปรับประมาณการ Credit Cost ของกลุ่มธนาคารลดลง 5 bps สำหรับปี 2568 และปี 2569 คาดว่าจะเห็น Credit Cost ของธนาคารส่วนใหญ่ (ยกเว้น TISCO) ลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปี 2568 

 

หลักๆ เกิดจากการตั้งสำรอง Management Overlay ลดลง ขณะที่คาดว่า Credit Cost ของ TISCO จะกลับคืนสู่ระดับปกติที่ 0.9-1% ในปี 2568 หลังจาก LLR ส่วนเกินหมดลง

 

กระทบอย่างไร:

 

ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มธนาคาร (SETBANK) ปรับขึ้น 9.7% ราคาหุ้น BBL ปรับขึ้น 13% และราคาหุ้น KTB ปรับขึ้น 12% ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 8.5%   

 

แนวโน้มผลประกอบการปี 2567:

 

InnovestX Research ปรับประมาณการกำไรปี 2567 ของธนาคารทุกแห่งลดลง 0-1% เนื่องจากได้รวมเอา NIM ที่มีแนวโน้มหดตัวลงอย่างมากใน 4Q67 เข้ามาไว้ในประมาณการ และปรับประมาณการกำไรของธนาคารขนาดใหญ่ลดลง 2% ในปี 2568 และ 3% ในปี 2569 เนื่องจากการปรับประมาณการ NIM ลดลงได้รับการชดเชยบางส่วนจากการปรับประมาณการ Credit Cost ลดลง 

 

ในขณะเดียวกัน ปรับประมาณการกำไรปี 2568-2569 ของ TISCO และ KKP เพิ่มขึ้น 11-13% อันเป็นผลมาจากการปรับประมาณการ NIM เพิ่มขึ้น และการปรับประมาณการ Credit Cost ลดลง โดยปัจจุบันคาดว่ากำไรของกลุ่มธนาคารจะเติบโต 3% ในปี 2567 เติบโต 6% ในปี 2568 และปี 2569 โดยเกิดจาก Credit Cost ที่ลดลง การเติบโตของสินเชื่อเล็กน้อย และ NIM ที่หดตัวลง 

 

สำหรับ 3Q67 คาดว่ากำไรจะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัว QoQ และ YoY สำหรับ 4Q67 คาดว่ากำไรจะลดลง QoQ (แต่เพิ่มขึ้น YoY) โดยเกิดจาก NIM ที่ลดลง รวมถึง OPEX และ Credit Cost ที่สูงขึ้นตามฤดูกาลของธนาคารบางแห่ง (KBANK, KTB และ TISCO)

 

กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำยังคงเลือก BBL และ KTB เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มธนาคาร เนื่องจาก Valuation ถูกที่สุด และมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำที่สุด ขณะที่ปรับราคาเป้าหมายของ TISCO เพิ่มขึ้นจาก 103 บาท เป็น 105 บาทต่อหุ้น และปรับราคาเป้าหมายของ KKP เพิ่มขึ้นจาก 38 บาท เป็น 46 บาทต่อหุ้น ในขณะที่ยังคงราคาเป้าหมายและของธนาคารอื่นๆ ไว้ไม่เปลี่ยนแปลง และคงคำแนะนำสำหรับธนาคารทุกแห่งไว้เหมือนเดิม

 

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึง ความเสี่ยงด้าน NIM จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และความเสี่ยงด้าน ESG จากการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรมและความปลอดภัยทางไซเบอร์

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

X
Close Advertising