เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2565 บมจ.เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ (NRF) รายงานกำไรสุทธิทำสถิติสูงสุดที่ 135 ล้านบาท โดยได้แรงหนุนจากกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนบางส่วนของ GTH ซึ่งเป็นบริษัทร่วม หากตัดรายการนี้ออกไป พบว่ากำไรปกติเป็นไปตามคาดที่คาดการณ์ไว้ที่ 40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1%YoY แต่ลดลง 18%QoQ เพราะถูกฉุดรั้งโดยค่าใช้จ่าย SG&A ที่สูงขึ้นจากการปรับปรุงบัญชีเกี่ยวกับค่าตัดจำหน่ายในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
สำหรับปี 2564 รายงานกำไรสุทธิ 221 ล้านบาท หากตัดรายการพิเศษออกไป พบว่าบริษัทมีกำไรปกติ 98 ล้านบาท ลดลง 22%YoY ทั้งนี้ NRF ประกาศจ่ายเงินปันผล 0.041 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทน 0.5% ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 28 เมษายน 2565 และจ่ายวันที่ 20 พฤษภาคม 2565
นอกจากนี้บริษัทยังได้เปิดเผยเป้าหมายทางธุรกิจในปี 2565 สรุปได้ดังนี้
- NRF ตั้งเป้าหมายเชิงรุกในปี 2565 โดยตั้งเป้ารายได้รวมเติบโตที่ 50-70% หลักๆ ได้แรงหนุนจากการเติบโตแบบ Inorganic Growth ผ่านทางการเข้าซื้อกิจการในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (เพิ่มขึ้น 100%, 18% ของรายได้รวมในปี 2564) และธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารจากพืช (เพิ่มขึ้น 300%, 3% ของรายได้รวมในปี 2564)
ในขณะที่ธุรกิจหลัก (ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารไทยและอาหารท้องถิ่น, 77% ของรายได้รวมในปี 2564) คาดว่าจะเติบโต 30% ด้วยแรงหนุนจากการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายไปยังตลาดสหรัฐฯ สหราชอาณาจักรและจีน โดยตั้งงบลงทุนไว้ 2 พันล้านบาท ในปี 2565-2566 ซึ่ง 70% จะใช้เพื่อการเข้าซื้อแบรนด์บนแพลตฟอร์ม Amazon เพิ่ม โดยคาดการณ์ไว้ที่ 5-7 แบรนด์ในปี 2565 (จาก 4 แบรนด์ในปัจจุบัน)
- NRF เปิดเผยแผนงานเบื้องต้นเกี่ยวกับโครงการ Decarbonization (การลดการปล่อยคาร์บอน) ซึ่งโครงการนี้จะยังไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลการดำเนินงานในระยะเวลาอันใกล้ โดยบริษัทวางแผนเข้าซื้อบริษัทเทคในสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิบัตรและเทคโนโลยีในการกำจัดของเสียให้เปลี่ยนเป็น Biocarbon Product
โดยนอกเหนือจากประโยชน์ที่จะได้รับจากการขายคาร์บอนเครดิตแล้ว ในกระบวนการนี้จะเกิดผลิตภัณฑ์พลอยได้คือ Biogas ซึ่ง NRF วางแผนนำมาใช้ผลิตไฟฟ้า โดยบริษัทจะนำพลังงานไฟฟ้าดังกล่าวมาใช้ในการทำเหมืองคริปโตเพื่อให้โครงการ Decarbonization มีจุดคุ้มทุนที่เร็วขึ้น
กระทบอย่างไร:
ในวันนี้ (3 มีนาคม) ณ เวลา 12.30 น. ราคาหุ้น NRF ปรับตัวลดลง 1.30%DoD อยู่ที่ระดับ 7.60 บาท แย่กว่า SET Index ที่ปรับเพิ่มขึ้น 0.32%DoD สู่ระดับ 1,695.16 จุด
มุมมองต่อแนวโน้มผลประกอบการในปี 2565:
SCBS คาดว่ากำไรปกติ 1Q65 จะเติบโต YoY และ QoQ โดยได้รับการสนับสนุนจากธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารไทยและอาหารท้องถิ่นที่เติบโตมากขึ้น ประกอบกับค่าใช้จ่าย SG&A ที่ปรับลดลง
อย่างไรก็ดี SCBS ได้ปรับประมาณการกำไรปกติลดลง 9% ในปี 2565 และ 16% ในปี 2566 โดยหลักๆ เกิดจากค่าตัดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น ขณะที่เมื่ออิงกับสมมติฐานที่คาดว่ารายได้จะเติบโต 33% ซึ่งเป็นตัวเลขอนุรักษนิยมกว่าเป้าหมายของบริษัท ก็คาดว่ากำไรปกติจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในปี 2565 จากผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวดีขึ้นของบริษัทร่วมทุน P&B ในสหราชอาณาจักร ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารไทยและอาหารท้องถิ่นที่เติบโตมากขึ้น และรายได้จากธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ ด้วยข้อมูลที่มีจำกัดจึงยังไม่ได้รวมเอาผลกระทบจากโครงการ Decarbonization และธุรกิจขุดเหมืองคริปโตเข้ามาไว้ในประมาณการดังกล่าว ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามต่อไปคือ เงินบาทแข็งค่าขึ้น เศรษฐกิจในสหรัฐฯ และยุโรป (70% ของรายได้) ชะลอตัว และโครงการลงทุนมีแนวโน้มเติบโตช้ากว่าคาด
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP