เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565 บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) รายงานผลประกอบการ 4Q64 ขาดทุนสุทธิ 1.6 พันล้านบาท หากตัดรายการพิเศษ (ส่วนใหญ่เป็นขาดทุนจากการตีราคาที่ดินใหม่และการด้อยค่าของสินทรัพย์) ออกไป พบว่าผลการดำเนินงานฟื้นตัวกลับมามีกำไรปกติเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2562 ที่ 1.7 พันล้านบาท โดยเกิดจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของ NH Hotel Group (NHH)
สำหรับทั้งปี 2564 รายงานขาดทุนสุทธิ 1.31 หมื่นล้านบาท และหากตัดรายการพิเศษออกไป พบว่าบริษัทมีขาดทุนปกติ 9.3 พันล้านบาท ดีกว่าขาดทุนปกติ 1.9 หมื่นล้านบาท ในปี 2563
รายการสำคัญใน 4Q64:
NHH (กิจการหลักในยุโรป) รายงานกำไรปกติ 44.9 ล้านยูโร (~1.6 พันล้านบาท) ดีกว่าขาดทุนปกติ 94.8 ล้านยูโร ใน 4Q63 และขาดทุนปกติ 27.8 ล้านยูโร ใน 3Q64 โดยได้รับการสนับสนุนจากอัตราการเข้าพักที่แข็งแกร่งที่ 50% (เทียบกับ 17% ใน 4Q63 และ 49% ใน 3Q64)
อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยที่สูงขึ้น (98 ยูโรต่อคืน เพิ่มขึ้น 44%YoY และ 8%QoQ) ซึ่งบ่งชี้ถึงความต้องการเดินทางที่แข็งแกร่งในยุโรป
ธุรกิจร้านอาหาร ยอดขายสาขาเดิม (SSS) หดตัวลง 1.7% (เทียบกับลดลง 7.2% ใน 3Q64 และ 13.7% ใน 4Q63) เนื่องจากกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีนและออสเตรเลียได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดเพื่อควบคุมการระบาดของโควิด ในขณะที่การดำเนินงานในประเทศไทยปรับตัวดีขึ้น QoQ หลังจากมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์
อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนอยู่ที่ 1.66 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 ดีขึ้นจากจุดสูงสุดที่ 2.16 เท่า (ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564) และต่ำกว่า Debt Covenant ที่ 1.75 เท่า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของส่วนขององค์ประกอบอื่นของส่วนของเจ้าของที่ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากส่วนเพิ่มจากการตีราคาสินทรัพย์และกำไรจากการขายสัดส่วนการลงทุน 40% ใน 5 สินทรัพย์ในประเทศไทย ซึ่งเป็นความพยายามของบริษัทในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับงบดุล
กระทบอย่างไร:
ในวันนี้ (วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565) ณ 12.30 น. ราคาหุ้น MINT ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.48%DoD สู่ระดับ 31.00 บาท ดีกว่า SET Index ที่ปรับเพิ่มขึ้น 0.26%DoD สู่ระดับ 1,684.25 จุด
มุมมองต่อผลประกอบการและแนวโน้มปี 2565:
SCBS ประเมินผลประกอบการ 4Q64 ปรับตัวขึ้นดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยได้รับการสนับสนุนจากกิจการในยุโรป ส่วนธุรกิจร้านอาหารที่อ่อนแอลง โดยเกิดจากมาตรการควบคุมการระบาดของโควิดในประเทศจีนและออสเตรเลีย ในขณะที่ในประเทศไทยปรับตัวดีขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 สถานะทางการเงินของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนปรับตัวดีขึ้นและอยู่ในระดับต่ำกว่า Debt Covenant
อย่างไรก็ดี SCBS ได้ทำการปรับประมาณการผลประกอบการเพิ่มขึ้น 41% ในปี 2565 (ขาดทุนปกติลดลง) และ 14% ในปี 2566 เพื่อสะท้อนผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าคาด
ส่วนผลประกอบการ 1Q65 มีแนวโน้มอ่อนตัวลง QoQ (แต่ดีขึ้น YoY) เพราะเป็นช่วง Low Season ของการท่องเที่ยวในยุโรป และผลกระทบจากการระบาดของโอมิครอน ขณะที่อัตราการเข้าพักของ NHH ฟื้นตัวขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากปรับตัวลดลงในเดือนมกราคม 2565 และเดือนธันวาคม 2564
ทั้งนี้ แนวโน้มผลประกอบการดังกล่าวยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามคือ การกลับมาระบาดของโควิดด้วยเชื้อกลายพันธุ์ และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความต้องการเดินทางและการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมโรงแรมหลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP