เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2566 บมจ.ธนาคารกรุงไทย (KTB) รายงานกำไรสุทธิ 1Q66 จำนวน 1.01 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 24%QoQ และ 15%YoY สูงกว่าที่คาดอยู่ 9% และสูงกว่า Consensus คาดอยู่ 15% หลักๆ เกิดจากรายได้ (NIM กำไรจากเครื่องมือทางการเงินและรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิ) ที่สูงกว่าคาด
รายการสำคัญในผลประกอบการ 1Q66 ดังนี้
- คุณภาพสินทรัพย์: NPL เพิ่มขึ้น 1%QoQ (เพิ่มขึ้น 2% ถ้านำยอดตัดหนี้สูญบวกกลับเข้ามา) Credit Cost เพิ่มขึ้น 10 bps QoQ (เพิ่มขึ้น 43 bps YoY) สู่ 1.25% เป็นไปตามเป้าที่ธนาคารวางไว้สำหรับปี 2566 เนื่องจากธนาคารหันมาเน้นขยายสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูง LLR Coverage เพิ่มขึ้นจาก 172% ณ 4Q65 สู่ 177%
- การเติบโตของสินเชื่อ: ลดลง 0.4%QoQ (ลดลง 2.9%YoY) การหดตัวเกิดขึ้นในสินเชื่อภาครัฐ (ลดลง 2.9%QoQ และ 27%YoY) และสินเชื่อ SMEs (ลดลง 17%QoQ และ 5.3%YoY) ขณะที่พบการเติบโตในสินเชื่อธุรกิจรายย่อย (เพิ่มขึ้น 0.7%QoQ และ 6.9%YoY) ส่วนสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ค่อนข้างทรงตัว (0%QoQ เพิ่มขึ้น 3.1%YoY)
- NIM: ดีกว่าคาด โดยเพิ่มขึ้น 14 bps QoQ โดยเกิดจากผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ที่เพิ่มขึ้น 35 bps QoQ ขณะที่ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น 26 bps
- Non-NII: ดีกว่าคาด โดยลดลง 7%QoQ (เพิ่มขึ้น 13%YoY) หลักๆ เกิดจากรายได้อื่นที่ลดลงตามฤดูกาล กำไรจากเครื่องมือทางการเงิน (เพิ่มขึ้น 17%QoQ และ 9%YoY) และรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิ (เพิ่มขึ้น 1%QoQ และ 3%YoY) ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้
- อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้: ลดลง 742 bps QoQ และ 264 bps YoY สู่ 38.35% ดีกว่าที่คาดการณ์
กระทบอย่างไร:
วันที่ 20 เมษายน ณ 12.30 น. ราคาหุ้น KTB ปรับเพิ่มขึ้น 5.99%DoD สู่ระดับ 17.70 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลดลง 0.43%DoD อยู่ที่ระดับ 1,573.86 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2566 และกลยุทธ์การลงทุน:
แนวโน้มกำไร 2Q66 คาดว่าจะลดลง QoQ โดยเกิดจากกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่ลดลง แต่จะเพิ่มขึ้น YoY โดยเกิดจาก NIM ที่ดีขึ้น ขณะที่กำไรปี 2566 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5% โดยได้รับการสนับสนุนจากสินเชื่อที่เติบโต 1% NIM ที่ขยายตัว 38 bps Credit Cost ที่เพิ่มขึ้น 32 bps รายได้ค่าธรรมเนียมที่เติบโต 2% และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ลดลง
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนยังคงเรตติ้ง OUTPERFORM สำหรับ KTB และคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 21 บาทต่อหุ้น (PBV ปี 2566 ที่ 0.7 เท่า) โดยได้รับการสนับสนุนจาก Valuation ที่น่าสนใจที่ PBV 0.6 เท่า (เทียบกับ ROE 9%) และ PE 6.5 เท่า การได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นมากที่สุด และความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำ
ส่วนปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ
- ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากเงินเฟ้อสูงและเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
- การขยายสินเชื่อได้ช้ากว่าคาด เนื่องจากความต้องการสินเชื่อชะลอตัวและการแข่งขันสูง และ
- ผลกระทบจาก FinTech
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- คัดมาให้ 9 หุ้น SETHD ปันผลเกิน 3.50% ต่อเนื่องติดกัน
- 8 อันดับหุ้นกลุ่มน้ำมันสุดแกร่ง ผลตอบแทนราคา YTD ปี 65 ยังบวก
- หุ้น AURA พุ่งแรง! เข้าเทรดใน SET วันแรกด้วยราคาเปิดที่ 13.90 บาท เพิ่มขึ้น 27.52% จากราคา IPO