เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 บมจ.ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส (HANA) รายงานกำไรสุทธิ 3Q67 ที่ 406 ล้านบาท ลดลง 44.7%YoY แต่เพิ่มขึ้น 7.9%QoQ หากหักกำไรที่เป็นรายการพิเศษจากการคืนเงินลงทุนในกองทุนซัพพลายเชนจำนวน 8.54 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (299.4 ล้านบาท) และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 55 ล้านบาทใน 3Q67 ออกไป พบว่ากำไรปกติของ HANA อยู่ที่เพียง 21 ล้านบาทใน 3Q67 ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ค่อนข้างมาก
โดยกำไรปกติ 3Q67 ลดลงกว่า 97%YoY และ 96%QoQ จากยอดขายที่อ่อนแอเกือบทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ จากความกังวลเกี่ยวนโยบายภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐอเมริกา และความต้องการ EV ในจีนที่อ่อนแอ ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขาย PCBA (ลดลง 5%YoY), IC (ลดลง 15%YoY) และ Micro Display (เพิ่มขึ้น 18%YoY)
อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมก็ลดลงสู่ 6.2% ลดลง 950bps YoY และ 620bps QoQ ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับมูลค่าสินค้าคงคลังที่เป็นรายการซึ่งเกิดขึ้นครั้งเดียวจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ จาก 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐมาอยู่ที่ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบสูง ประกอบกับเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐใน 3Q67 เนื่องจากมีการซื้อวัตถุดิบหลักๆ ล่วงหน้า 2-3 เดือนก่อนการผลิต
ประเด็นสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์ ผู้บริหาร HANA ประเมินว่าผลกระทบหลัง โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง ซึ่งมีนโยบายเพิ่มภาษีนำเข้า โดยเฉพาะลูกค้าของ HANA ที่พยายามลดสินค้าคงคลังลงให้มากที่สุด ระยะสั้นจึงได้รับผลกระทบต่อปริมาณคำสั่งซื้อ ทั้งในส่วนธุรกิจ IC และธุรกิจ EMS ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเนื่องมาถึง 4Q67 ขณะที่ปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ EV โดยเฉพาะธุรกิจ PMS (ผลิตภัณฑ์ Silicon Carbide) ก็มีปริมาณความต้องการปรับตัวลดลงเช่นกัน รวมถึงเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นความต้องการปรับตัวดีขึ้นในช่วงกลางปี 2568 โดยจุดคุ้มทุนที่ระดับ EBITDA เลื่อนไปเป็นปลายปี 2568 จากช่วงกลางปี 2568
สำหรับธุรกิจ OSAT (Outsourced Semiconductor Assembly and Test) ยังคงเผชิญกับความต้องการที่ลดลง เนื่องจากลูกค้าพยายามที่จะลดระดับสินค้าคงคลังลง สำหรับธุรกิจ RFID (13% ของรายได้รวม) คาดว่าจะเติบโตได้ใน 4Q67 และ ปี 2568 หลังจากได้รับ Auburn Certificate แล้ว โดยคาดว่ารายได้จากธุรกิจ RFID จะเติบโต 20% ในปี 2568
สำหรับ FT1 เป็นการร่วมทุนระหว่าง HANA และ PTT (ถือหุ้นโดย HANA 49% และ PTT 51%) เพื่อศึกษาโอกาสลงทุนในโรงงาน Wafer Fabrication บริษัทจะประเมินสถานการณ์และภาพรวมตลาดในช่วง 6 เดือนหลังจากนี้ก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาพิจารณาเรื่องไทม์ไลน์และขนาดของการลงทุนอีกครั้ง
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาหุ้น HANA ปรับลง 17.14% สู่ 29 บาท ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 0.55% สู่ 1,459.39 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2567-2568:
InnovestX Research ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2567 ลดลง 39% และปี 2568 ลดลง 29% เพื่อสะท้อนรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่าคาด โดยแม้คาดว่ากำไรปกติ 4Q67 จะฟื้นตัวขึ้นได้เล็กน้อยหลังไม่มีการปรับมูลค่าสินค้าคงคลังแล้ว แต่แนวโน้มอุปสงค์ยังคงอ่อนแอจากทั้งจากธุรกิจ EMS, IC และ PMS
โดยยังคงคาดว่าอุปสงค์โดยรวมจะชะลอตัวลง YoY ใน 1H68 ก่อนที่จะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นใน 2H68 ดังนั้นจึงปรับลดคำแนะนำสำหรับ HANA ลงจาก Outperform สู่ Neutral โดยปรับราคาเป้าหมายปี 2568 ใหม่เป็น 33 บาทต่อหุ้น (จากเดิม 56 บาท) โดยอิงกับ P/E เฉลี่ย 5 ปีที่ 19 เท่า
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือการเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยง ESG ที่สำคัญคือการจัดการแรงงานและซัพพลายเออร์ (S)
☕️ ‘Cafe Invest’ แหล่งรวมข้อมูลการลงทุนและบทวิเคราะห์คุณภาพโดย InnovestX 🚀 คลิกเลย 👉 HANA – 3Q67: กำไรปกติต่ำกว่าคาดจากอุปสงค์ที่อ่อนแอ:
https://www.innovestx.co.th/cafeinvest/research/company-analysis/company-update/hana-20241120