เกิดอะไรขึ้น:
หลังจากที่รัฐบาลเริ่มผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นตามลำดับ ส่งผลให้ภาคธุรกิจเริ่มกลับมาเปิดทำการมากขึ้น
โดย บมจ.สยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) และ บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) ได้กลับมาเปิดให้บริการทุกสาขาแล้ว หลังจากที่รัฐบาลเริ่มผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์เฟส 2 เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2563
กระทบอย่างไร:
นับตั้งแต่ที่รัฐบาลได้ผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์เฟส 2 (17 พฤษภาคม) จนถึงวันนี้ (2 มิถุนายน) ราคาหุ้น GLOBAL ปรับขึ้น 10.71% สู่ระดับ 15.50 บาท จาก 14.00 บาท ขณะที่ราคาหุ้น HMPRO ปรับขึ้น 6.34% สู่ระดับ 15.10 บาท จาก 14.20 บาท
มุมมองระยะสั้น:
SCBS คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2/63 ของทั้ง GLOBAL และ HMPRO จะอ่อนแอสุดของปีนี้ จากยอดขายสาขาเดิม (Same Store Sales – SSS) ที่หดตัวลงจากการปิดสาขาชั่วคราวในเดือนเมษายนตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ของรัฐบาล ซึ่งยอดขายที่หายไปจากการปิดสาขาครั้งนี้ไม่สามารถถูกชดเชยได้ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้นของช่องทางคอลเซ็นเตอร์และช่องทางออนไลน์
อย่างไรก็ดี SCBS เชื่อว่าความต้องการซื้อที่คงค้างจากช่วงปิดสาขาชั่วคราวจะช่วยหนุนให้ยอดขายสินค้าทุกประเภทฟื้นตัวดีขึ้นหลังจากบริษัทกลับมาเปิดครบทุกสาขาตามการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์เฟส 2 เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม
ด้านความสามารถในการทำกำไร SCBS คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นไตรมาส 2/63 ของ GLOBAL จะลดลง QoQ เนื่องจากมีการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนยอดขายสินค้าวัสดุก่อสร้าง ซึ่งให้อัตรากำไรต่ำ
ทั้งนี้ GLOBAL ตั้งเป้าว่าจะปรับเพิ่มสัดส่วนสินค้า Private Brand ที่ให้อัตรากำไรสูงสู่ระดับ 25% ต่อยอดขายรวม (ปัจจุบันอยู่ 17% ต่อยอดขาย) เพื่อหนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมของบริษัทดีขึ้นด้วยการเพิ่มจำนวน SKU ของสินค้าทุกประเภท ยกเว้นวัสดุก่อสร้าง ด้านต้นทุน GLOBAL ได้ลดค่าใช้จ่ายบางส่วนลง เช่น ค่าใช้จ่ายพนักงาน (45% ของ SG&A) และค่าสาธารณูปโภค (6% ของ SG&A)
สำหรับ HMPRO SCBS คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นไตรมาส 2/63 จะดีขึ้น YoY จากการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนสินค้า Private Brand ที่ให้อัตรากำไรสูง นอกจากนี้ HMPRO ยังคงตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนสินค้า Private Brand สู่ระดับ 20.5% ต่อยอดขายรวมในปี 2563 (ปัจจุบันอยู่ที่ 20.2% ต่อยอดขายรวม) สำหรับด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) HMPRO ได้ลดค่าใช้จ่ายการตลาดบางส่วน ค่าสาธารณูปโภค และค่าเช่าลง ซึ่งทั้ง 3 รายการนี้คิดเป็น 35-40% ของ SG&A
มุมมองระยะยาว:
หากมองข้ามผลกระทบจากโควิด-19 ไป SCBS ประเมินว่าในระยะยาวความต้องการสินค้าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านยังจะมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นจากเทรนด์ของการทำงานที่บ้าน (Work from Home) ซึ่งจะกระตุ้นความต้องการในสินค้าเฟอร์นิเจอร์สำนักงานมากขึ้น
ขณะที่แผนขยายสาขาซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยผลักดันผลประกอบการในระยะยาวยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม โดยปัจจุบัน GLOBAL ยังคงตั้งเป้าขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ 7 สาขาต่อปีในระยะเวลา 3-5 ปีข้างหน้าเพื่อรองรับความต้องการเพิ่มขึ้น หลังจากที่ได้เปิดสาขาแรกในกัมพูชาเมื่อปี 2561 ซึ่งสามารถสร้างกำไรในปี 2562 GLOBAL จึงวางแผนเปิดสาขา 2 ในปี 2564 ส่วน HMPRO ได้ปรับลดการขยายสาขาในปี 2563 ลงจาก 5 สาขาสู่ 2 สาขา รวมถึงเลื่อนการเปิดสาขาโฮมโปร เอส เมกาโฮม และโฮมโปรในมาเลเซีย ซึ่งยังไม่ได้ก่อสร้างออกไป
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์