เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 บมจ.ซีพี แอ็กซ์ตร้า (CPAXT) รายงานผลกำไรสุทธิ 3Q67 อยู่ที่ 1.95 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 16%YoY แต่ลดลง 10%QoQ เป็นไปตามตลาดคาด หากไม่รวมค่าใช้จ่ายพิเศษหลังภาษีจำนวน 458 ล้านบาท (ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 258 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการควบรวมกิจการจำนวน 200 ล้านบาท)
กำไรปกติ 3Q67 อยู่ที่ 2.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 40%YoY และ 11%QoQ สูงกว่าคาด 14% เพราะอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าคาด กำไรปกติที่ปรับตัวดีขึ้น YoY ได้แรงหนุนจากยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น (ธุรกิจ B2B และธุรกิจ B2C) ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายไม่เปลี่ยนแปลง (การปรับตัวลดลงในธุรกิจ B2C ถูกชดเชยโดยการปรับตัวเพิ่มขึ้นในธุรกิจ B2B)
ธุรกิจ B2B (ธุรกิจค้าส่ง: Makro) ใน 3Q67 กำไรปกติของธุรกิจ B2B อยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2%YoY (เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส) และ 35%QoQ กำไรปกติที่ปรับตัวดีขึ้น YoY ได้รับการสนับสนุนจากยอดขายที่สูงขึ้นจากการขยายสาขา โดยมี NSA ที่ 0.93 ล้านตารางเมตร ณ สิ้น 3Q67 และ SSS ที่เพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนยอดขายสินค้าอาหารสดต่อยอดขายรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 41.9% (เทียบกับ 41.1% ใน 3Q66) และสัดส่วนยอดขายผ่าน Omni-Channel เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 23.6%
อัตรากำไรขั้นต้นที่กว้างขึ้น (เพิ่มขึ้น 70bps YoY) จากมาร์จิ้นที่ดีขึ้นของกลุ่มสินค้าอาหารสดในประเทศไทย รวมถึงธุรกิจแม็คโครต่างประเทศและธุรกิจ Food Service ที่ดีขึ้น
อัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายที่สูงขึ้น (เพิ่มขึ้น 40bps YoY) จากค่าใช้จ่าย SG&A ที่สูงขึ้น ทั้งนี้ บริษัทพบว่ายอดขาย Omni-Channel เพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าค่าใช้จ่ายเป็นครั้งแรกใน 3Q67
ธุรกิจ B2C (ธุรกิจค้าปลีก: Lotus’s) ใน 3Q67 กำไรปกติของธุรกิจ B2C อยู่ที่ 1.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 143%YoY แต่ลดลง 8%QoQ กำไรปกติที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก YoY ได้รับการสนับสนุนจาก
- ยอดขายธุรกิจค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นจาก NSA ที่ 1.8 ล้านตารางเมตร และ SSS ที่เติบโต 2.3%YoY โดยสัดส่วนยอดขายกลุ่มสินค้าอาหารสดต่อยอดขายรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 27.5% (เทียบกับ 26.8% ใน 3Q66) และสัดส่วนยอดขาย Omni-Channel เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 12.5% (เทียบกับ 9.1% ใน 3Q66)
- อัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจค้าปลีกที่กว้างขึ้น (เพิ่มขึ้น 70bps YoY) โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นจากประเทศไทยและมาเลเซีย จากการมียอดขายกลุ่มอาหารสดที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงมากขึ้นในทั้งสองประเทศ และการมียอดขายบุหรี่และสุราที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำลดลงในประเทศมาเลเซีย
- รายได้จากการให้เช่าและบริการในระดับทรงตัว โดยมี NLA ถาวรที่ 1.1 ล้านตารางเมตร (เพิ่มขึ้น 3%YoY) ณ สิ้น 3Q67 และอัตราการเช่าพื้นที่ 92-93% (ทรงตัว YoY) ท่ามกลางอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 54.9%
- อัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายที่ลดลงจากค่าใช้จ่าย SG&A ที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้ากว่ายอดขาย
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาหุ้น CPAXT ปรับลง 1.44% สู่ 34.25 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลง 0.07% สู่ 1,463.15 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2024:
InnovestX Research ปรับประมาณการกำไรปี 2567-2568 ของ CPAXT เพิ่มขึ้น 5% ขณะที่ใน 4Q67TD คาดว่ายอดขายสาขา SSS ของ CPAXT จะเติบโต 2-3%YoY (เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 1.5-2%YoY ใน 3Q67) โดยได้รับประโยชน์จากมาตรการแจกเงิน 10,000 บาทให้แก่กลุ่มเปราะบางจำนวน 14.5 ล้านคน ในสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม และกลับสู่ภาวะปกติ (ยังเติบโตในอัตราเลขตัวเดียวระดับต่ำ YoY) ในเวลาต่อมา
ส่วน 4Q67 คาดว่ากำไรจะเป็นจุดสูงสุดของปีนี้ โดยจะเพิ่มขึ้น QoQ จากปัจจัยฤดูกาล และ YoY จากยอดขายที่สูงขึ้นและมาร์จิ้นที่กว้างขึ้น ทั้งนี้ ภายหลังควบรวมกิจการ Synergy จะเริ่มมีให้เห็นใน 4Q67 และชัดเจนมากขึ้นในปี 2568-2570
กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ ยังคงคำแนะนำ Outperform สำหรับ CPAXT โดยปรับราคาเป้าหมายกลางปี 2568 อ้างอิงวิธี DCF (WACC 7.0% และการเติบโตระยะยาวที่ 2.5%) ใหม่เป็น 41 บาทต่อหุ้น (จาก 40 บาท)
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ การเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลและกำลังซื้อ ความเสี่ยง ESG ที่สำคัญคือ การบริหารจัดการพลังงานและของเสีย ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน (E) และการบริหารจัดการคุณภาพผลิตภัณฑ์ แนวปฏิบัติด้านแรงงาน และความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (S)
อ่านบทวิเคราะห์ InnovestX Research: CPAXT – 3Q67 กำไรสูงกว่าคาดจากอัตรากำไรขั้นต้น: https://www.innovestx.co.th/cafeinvest/research/company-analysis/company-update/cpaxt-20241108